1 min read
PM 2.5 ก่อให้เกิด มะเร็งปอด จริงไหม?
จากข้อมูลการวิจัยทางการแพทย์ในปัจจุบัน พบว่า PM 2.5 ก่อให้เกิดมะเร็งปอดได้จริง โดย PM 2.5 เป็นอนุภาคขนาดเล็กกว่า 2.5 ไมครอน เล็กกว่าเส้นผมมนุษย์ 20 กว่าเท่า เกิดจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงต่าง ๆ เช่น รถยนต์ โรงงานอุตสาหกรรม โรงไฟฟ้า เป็นต้น เมื่อ PM 2.5 เข้าสู่ร่างกายจะเข้าไปสะสมในปอด และอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรมของเซลล์ปอด ทำให้เซลล์ปอดเกิดการกลายพันธุ์กลายเป็นเซลล์มะเร็งได้
จากการศึกษาวิจัยพบว่า ผู้ที่อาศัยอยู่ในบริเวณที่มีค่า PM 2.5 สูง มีความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งปอดเพิ่มขึ้น โดยพบว่าผู้ที่สูบบุหรี่อยู่แล้ว เมื่อได้รับ PM 2.5 เข้าไปจะเพิ่มความเสี่ยงโรคมะเร็งปอดจะทวีคูณขึ้นเป็น 2 เท่า ส่วนคนที่ไม่สูบบุหรี่แต่ได้รับ PM 2.5 เข้าไปก็มีความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งปอดเพิ่มขึ้นเช่นกัน โดยพบความเสี่ยงเพิ่มขึ้น 1-1.4 เท่า
นอกจากนี้ การศึกษาวิจัยยังพบว่า PM 2.5 ก่อให้เกิดมะเร็งปอดชนิดอะดีโนคาร์ซิโนมา (Adenocarcinoma) หรือมะเร็งชนิดต่อม ซึ่งผู้หญิงมีโอกาสเป็นมะเร็งปอดชนิดนี้ได้มากกว่าผู้ชาย
ดังนั้น จึงสรุปได้ว่า PM 2.5 ก่อให้เกิดมะเร็งปอดได้จริง โดยผู้ที่อาศัยอยู่ในบริเวณที่มีค่า PM 2.5 สูง มีความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งปอดเพิ่มขึ้น ซึ่งผู้ที่สูบบุหรี่อยู่แล้วจะมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นมากกว่าผู้ที่ไม่สูบบุหรี่
วิธีการดูแลและป้องกันตัวเองจากฝุ่น PM 2.5
ฝุ่น PM 2.5 เป็นฝุ่นละอองขนาดเล็กที่มีขนาดเล็กกว่า 2.5 ไมครอน ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ลอยอยู่ในอากาศได้นานและสามารถเข้าสู่ร่างกายของเราได้ง่ายผ่านระบบทางเดินหายใจ หากได้รับฝุ่น PM 2.5 อย่างต่อเนื่องหรือในปริมาณที่มาก จะส่งผลกระทบสะสมต่อสุขภาพของเราโดยตรง ไม่ว่าจะเป็นโรคเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ โรคมะเร็งปอด โรคหลอดเลือดสมอง และโรคหัวใจขาดเลือด เป็นต้น
ดังนั้น จึงควรดูแลและป้องกันตัวเองจากฝุ่น PM 2.5 โดยปฏิบัติตามคำแนะนำ ดังนี้
- ติดตามสถานการณ์คุณภาพอากาศ เป็นประจำ โดยสามารถติดตามได้จากแอปพลิเคชัน Air4Thai หรือเว็บไซต์ของกรมควบคุมมลพิษ
- หลีกเลี่ยงการอยู่กลางแจ้ง โดยเฉพาะในช่วงที่มีค่า PM 2.5 สูง
- สวมหน้ากากอนามัย ที่สามารถกรองฝุ่น PM 2.5 ได้ เมื่อต้องอยู่กลางแจ้ง
- ปิดประตูหน้าต่างให้สนิท เพื่อป้องกันฝุ่นละอองจากภายนอกเข้ามาภายในอาคาร
- ทำความสะอาดบ้าน เป็นประจำ โดยเฉพาะบริเวณพื้น เฟอร์นิเจอร์ และเครื่องใช้ไฟฟ้า
- ล้างมือบ่อย ๆ เพื่อป้องกันไม่ให้ฝุ่นละอองเข้าสู่ร่างกายทางปากและจมูก
- รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ พักผ่อนให้เพียงพอ และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
กลุ่มเสี่ยงที่ควรได้รับการดูแลเป็นพิเศษ ได้แก่
- เด็ก
- หญิงตั้งครรภ์
- ผู้สูงอายุ
- ผู้ป่วยโรคปอดเรื้อรัง เช่น โรคหอบหืด โรคถุงลมโป่งพอง
- ผู้ป่วยโรคหัวใจและหลอดเลือด
ผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงควรดูแลตัวเองเป็นพิเศษ โดยปฏิบัติตามคำแนะนำ ดังนี้
- หลีกเลี่ยงการอยู่กลางแจ้งในช่วงที่มีค่า PM 2.5 สูง
- สวมหน้ากากอนามัยที่สามารถกรองฝุ่น PM 2.5 ได้ ตลอดเวลาที่อยู่ในบ้าน
- ปิดประตูหน้าต่างให้สนิท
- ติดตั้งเครื่องกรองอากาศในห้องนอน
- ล้างจมูกด้วยน้ำเกลือบ่อย ๆ
- พบแพทย์เพื่อรับการรักษาอย่างสม่ำเสมอ
นอกจากการดูแลและป้องกันตัวเองจากฝุ่น PM 2.5 แล้ว สิ่งสำคัญอีกประการหนึ่ง คือ การช่วยกันลดมลพิษทางอากาศ โดยลดการใช้รถยนต์ส่วนตัว หันมาใช้ขนส่งสาธารณะแทน ปลูกต้นไม้ และใช้พลังงานทดแทน
เขียนโดยผู้เชี่ยวชาญงานเขียน
นามปากกา : ถังแก๊ส
ต้องการมืออาชีพช่วยเขียนบทความ?
บริการเขียนบทความ
คุณภาพสูง เน้นการปรับแต่งให้เหมาะสมกับรูปแบบธุรกิจและบริการของคุณ!
เพิ่มความสามารถในการแข่งขันด้วย
บทความ SEO
ที่ช่วยเพิ่มอันดับการค้นหาของเว็บไซต์ของคุณ
ติดต่อตอนนี้เพื่อพัฒนากลยุทธ์การตลาดดิจิทัลของคุณ