Spread the love

1 min read

เบื่อไหม? ภาพซ้ำ ๆ ของคนติดจอ สร้างความเบื่อหน่ายและความเหินห่าง

เมื่อมือถือกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต เราให้ความสำคัญกับคนตรงหน้าจริงหรือเปล่า? ในยุคที่มือถือกลายเป็นสิ่งที่แทบจะแยกไม่ออกจากชีวิตประจำวัน หลายคนอาจเคยได้ยินคำพูดเหล่านี้จากคนใกล้ตัว เช่น

  • “ลูก มองหน้าแม่บ้างสิ แม่พูดด้วยอยู่นะ”
  • “ทั้งวันไม่เห็นวางโทรศัพท์เลย เธอจะสนใจฉันบ้างได้ไหม?”
  • “ทุกครั้งที่ฉันเล่าอะไร เธอก็แค่ ‘อืม’ แล้วกลับไปจ้องมือถือต่อ”
  • “พ่อ/แม่ หนูอยากให้มองหนูตอนหนูพูด ไม่ใช่มองแต่จอ”
  • “หนูอยากเล่นกับพ่อ/แม่ แต่พ่อ/แม่เอาแต่ดู TikTok”
  • “หันไปเมื่อไรต้องเจอภาพซ้ำๆก้มหน้าดูจอ”
  • “วันนี้ไม่เห็นหน้าเลยพ่อ/แม่ ดูซีรีย์จบหรือยัง”

หากคุยได้ยินประโยชน์เหล่านี้คุณรู้สึกอย่างไร ลองจินตนาการดูว่าคุณมีเรื่องสำคัญ หรือแม้แต่เรื่องเล่าขำ ๆ ที่อยากแบ่งปันกับใครสักคน แต่สิ่งที่คุณเห็นกลับเป็นเขาที่เอาแต่นั่ง ยืน นอนหรือเดินไปพร้อมกับมือถือในมือ เลื่อนดู TikTok หรือโซเชียลฟีดอย่างต่อเนื่อง หรือนั่งดูซีรีย์อย่างใจจดใจจ่อ ไม่ว่าจะทำสิ่งต่างๆ เสร็จแล้ว เขาก็กลับไปนั่งจ้องหน้าจอเหมือนเดิม ไม่มีทีท่าว่าจะหันมาสนใจสิ่งที่คุณพูด ราวกับว่าคุณไม่ได้อยู่แถวนั้นยิ่งไปกว่านั้นเค้ายังชวนคุยเรื่องในจอที่เขาเพิ่งเห็นอย่างไม่สนใจว่าคุณยืนอยู่แถวนั้น คุณจะรู้สึกอย่างไรเมื่อความพยายามที่จะสื่อสารหรือสร้างความใกล้ชิด ถูกแทนที่ด้วยสายตาที่จดจ่ออยู่กับหน้าจอเพียงอย่างเดียว?

สถานการณ์แบบนี้ส่งผลอย่างไรต่อความสัมพันธ์?

1. “การทำทุกอย่างให้” ไม่ได้หมายถึง “การให้เวลา”

แม้ว่าคนที่ติดจอจะบอกว่า “ฉันทำทุกอย่างให้แล้วนะ” เช่น ช่วยทำงานบ้าน ช่วยแก้ปัญหาต่าง ๆ แต่สิ่งที่คนอยากคุยต้องการจริง ๆ คือ การใส่ใจในระดับอารมณ์และความรู้สึก การ “ทำงาน” กับการ “ตั้งใจฟัง” เป็นสองเรื่องที่ไม่เหมือนกัน เมื่ออีกฝ่ายรู้สึกว่าเขาถูกจัดลำดับความสำคัญไว้ต่ำกว่าสิ่งในจอ ความรู้สึกนั้นก็สะสมเป็นระยะยาว จนความสัมพันธ์อาจกลายเป็นช่องว่างที่กว้างขึ้นเรื่อย ๆ


2. คำพูดว่า “เหมือนเดิม พูดมาสิ” ไม่ได้ทำให้รู้สึกใกล้ชิด

การพูดแบบนี้แม้จะดูเหมือนเปิดโอกาสให้คุย แต่ในเชิงอารมณ์มันส่งสารว่า “ฉันไม่ได้ให้ความสำคัญกับสิ่งที่เธอจะพูดเท่าไหร่หรอก” มันทำให้คนที่อยากคุยรู้สึกว่าคำพูดหรือความรู้สึกของเขาไม่ได้มีค่า สิ่งที่เขาต้องการจริง ๆ ไม่ใช่แค่โอกาสพูด แต่คือการได้รับการ “รับฟัง” อย่างแท้จริง


3. ภาพซ้ำ ๆ ของคนติดจอ สร้างความเบื่อหน่ายและความเหินห่าง

การที่คนอยากคุยหันไปทางไหนก็เห็นอีกฝ่ายจ้องมือถือเหมือนเดิมทุกครั้ง ไม่ว่าจะตอนเดิน กิน เที่ยว ทำงานบ้าน หรือแม้กระทั่งเวลาว่างๆ ภาพซ้ำ ๆ เหล่านี้สามารถสร้างความรู้สึกเบื่อหน่าย และทำให้ความสัมพันธ์ค่อย ๆ จืดจาง เพราะไม่มีการปฏิสัมพันธ์ที่มีคุณภาพเกิดขึ้น

ผลกระทบที่เกิดขึ้น

  1. ความเบื่อหน่ายสะสม
    ภาพซ้ำ ๆ ของคนติดจอ โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่ควรมีการปฏิสัมพันธ์ เช่น ขณะรับประทานอาหารร่วมกัน ทำงานบ้านด้วยกัน หรือใช้เวลาว่างด้วยกัน ทำให้เกิดความรู้สึกว่าหน้าจอมีความสำคัญมากกว่า และไม่มีเวลาไหนเลยที่หน้าจอจากไป
  2. ความสัมพันธ์ที่ขาดความใส่ใจ
    เมื่ออีกฝ่าย “อยู่ตรงนั้น” เพียงร่างกาย แต่ใจจดจ่ออยู่กับโทรศัพท์ ผู้ที่อยากพูดคุยหรือใกล้ชิดอาจเริ่มรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้รับความสำคัญ เป็นเพียงตัวประกอบในชีวิตของอีกฝ่าย เกิดความไม่มั่นใจว่าเค้าจะว่างไหมเพราะไม่มีเวลาว่างเคยแม้แต่ตอนเข้าห้องน้ำ
  3. การขาดการปฏิสัมพันธ์เชิงคุณภาพ
    การสื่อสารที่ดีต้องการการให้ความสนใจทั้งสองฝ่าย ไม่ใช่แค่การฟังผ่าน ๆ หรือการตอบกลับอย่างขอไปที ภาพซ้ำ ๆ ของการจ้องจอโดยไม่มีสายตาและความใส่ใจจากอีกฝ่าย จะทำให้บทสนทนากลายเป็นเพียงพิธีกรรมที่ขาดความหมาย

ตัวอย่างในชีวิตประจำวัน

ลองจินตนาการถึงสถานการณ์เหล่านี้:

  • ขณะคู่รักกำลังพยายามพูดคุยเรื่องสำคัญ แต่คนหนึ่งตอบกลับด้วยคำว่า “อืม” หรือ “อ๋อ” โดยที่ตายังจดจ่อกับหน้าจอ
  • ลูกต้องการความช่วยเหลือในงานโรงเรียน แต่พ่อหรือแม่ตอบว่า “ทำให้หมดแล้ว” โดยไม่มองหน้าลูกเลย
  • เพื่อนนัดเจอเพื่อพูดคุยแลกเปลี่ยน แต่กลับต้องนั่งอยู่กับคนที่คอยเลื่อนดู TikTok หรือนั่งดูซีรีย์ตลอดเวลาและบางครั้งก็พูดเรื่องสิ่งที่กำลังดูอยู่แทรกมาถามความเห็นด้วย

ผลกระทบระยะยาว

เมื่อภาพเหล่านี้เกิดขึ้นซ้ำ ๆ ไม่เพียงแต่จะสร้างความรู้สึกเบื่อหน่าย แต่ยังทำให้เกิดความรู้สึกห่างเหินและไม่สนิทใจ ซึ่งอาจนำไปสู่การลดการพูดคุย ลดการใช้เวลาอยู่ร่วมกัน และสุดท้าย ความสัมพันธ์ที่เคยแน่นแฟ้นอาจจืดจางลงอย่างช้า ๆ เพราะต่างคนก็ต่างอยู่ในที่จองตนคือหน้าจอ


ระยะเวลาในการใช้จอที่ควรระวัง

  1. เกิน 3-4 ชั่วโมงต่อวัน
    • การใช้งานหน้าจอโดยเฉลี่ยที่เหมาะสมควรอยู่ที่ประมาณ 2-3 ชั่วโมงต่อวัน หากใช้งานเกินกว่านี้ อาจส่งผลต่อสุขภาพกาย เช่น ปวดตา ออฟฟิศซินโดรม และสุขภาพจิต เช่น การเสพติดเนื้อหาออนไลน์
  2. ช่วงเวลาที่สำคัญในชีวิตประจำวัน
    • การใช้จอในช่วงเวลาที่ควรให้ความสำคัญกับคนรอบข้าง เช่น เวลากินข้าว เวลาคุยกับครอบครัว หรือก่อนนอน อาจสร้างความห่างเหินและลดความใกล้ชิดในความสัมพันธ์

ความเชื่อมโยงระหว่าง “การไม่สามารถอยู่กับความเงียบได้” และ “การติดจอ”

  1. ความกลัวความว่างเปล่า (Fear of Silence)

    • หลายคนรู้สึกอึดอัดเมื่ออยู่ในความเงียบหรือไม่มีสิ่งกระตุ้นจิตใจ การใช้งานมือถือหรือเลื่อนดูโซเชียลมีเดียกลายเป็นวิธีเบี่ยงเบนความสนใจจากความเงียบ
    • พฤติกรรมนี้ส่งผลให้สมองไม่มีโอกาสพักผ่อน และทำให้เราพึ่งพาเทคโนโลยีเป็นแหล่งความสุขหลัก
  2. การแสวงหาการกระตุ้นทางสมองตลอดเวลา

    • การหลั่ง Dopamine จากการเลื่อนดูฟีดโซเชียล ทำให้เราชินกับความกระตุ้นที่ต่อเนื่อง ส่งผลให้เราไม่สามารถอยู่กับความสงบได้ เพราะสมองต้องการข้อมูลใหม่อยู่ตลอด
  3. ความรู้สึกต้อง “เชื่อมต่อ” ตลอดเวลา

    • พฤติกรรมที่เราไม่ยอมอยู่เงียบ ๆ อาจเกี่ยวข้องกับความรู้สึกว่าต้องอยู่ในโลกออนไลน์เสมอ กลัวพลาดข่าวสาร (Fear of Missing Out – FOMO) หรือรู้สึกว่าความเงียบเป็นสัญลักษณ์ของการถูกตัดขาดจากสังคม
  4. ความเงียบที่สะท้อนอารมณ์และความคิด

    • ความเงียบอาจทำให้บางคนต้องเผชิญกับความคิดลึก ๆ ที่ตนเองไม่อยากยอมรับ เช่น ความเหงา ความไม่มั่นคง หรือปัญหาชีวิต การใช้มือถือจึงกลายเป็นเครื่องมือหลีกหนีจากความรู้สึกเหล่านี้

การหลั่ง Dopamine กับการใช้มือถือ

การเลื่อนดูโซเชียลมีเดียจะทำให้สมองหลั่ง Dopamine ซึ่งเป็นสารแห่งความสุขในระยะสั้น แต่การพูดคุยแบบตัวต่อตัวจะสร้างความสัมพันธ์ระยะยาวที่มั่นคง

  • ความพึงพอใจที่ชั่วคราว
    • แม้การเลื่อนดูโซเชียลมีเดียจะสร้างความสุขชั่วคราว แต่สมองจะเริ่มชินกับรางวัลแบบนี้ และต้องการมันมากขึ้นเรื่อย ๆ (Dopamine Desensitization) ส่งผลให้เราหันไปหาโซเชียลมีเดียมากกว่าที่จะใส่ใจคนรอบตัว
  • การลดความสามารถในการจดจ่อ
    • โซเชียลมีเดียถูกออกแบบมาให้กระตุ้นสมองตลอดเวลา เช่น การแจ้งเตือน (Notifications) หรือการแนะนำเนื้อหาที่ดึงดูดใจ สิ่งเหล่านี้ทำให้สมองของเราคุ้นเคยกับการรับข้อมูลที่เปลี่ยนแปลงเร็ว และลดความสามารถในการโฟกัสระยะยาว เช่น การฟังคนพูดคุยหรือการปฏิสัมพันธ์ที่ต้องใช้เวลาและความตั้งใจ
  • ลดคุณค่าของความสัมพันธ์ในชีวิตจริง
    • การมุ่งเน้นไปที่หน้าจอแทนการสนทนากับคนตรงหน้า ทำให้เราไม่สามารถเชื่อมโยงในระดับอารมณ์กับคนรอบตัวได้ เพราะการพูดคุยแบบตัวต่อตัวต้องใช้การแสดงออกทางอารมณ์ (เช่น การสบตา หรือสีหน้า) ซึ่งช่วยสร้างความเชื่อมโยงที่ยั่งยืนมากกว่า

มือถือไม่ใช่ปัญหา แต่การเลือกใช้งานคือคำตอบ

พฤติกรรมของเราที่ทำให้มันกลายเป็นกำแพงในความสัมพันธ์ หากเราสามารถปรับสมดุลระหว่างการใช้งานมือถือกับการให้ความสำคัญกับคนรอบข้าง ความสัมพันธ์ก็จะดีขึ้นอย่างแน่นอน อย่าลืมวางจอมือถือ แล้วหันไปมองคนที่กำลังรอคุยกับคุณบ้างนะครับ บางทีสิ่งที่เขาจะพูดอาจสำคัญกว่าสิ่งที่อยู่ในหน้าจอเสียอีก 😊
“มือถืออาจพาคุณไปทุกที่ในโลกออนไลน์ แต่หัวใจของคนตรงหน้าคือที่ที่คุณควรใส่ใจที่สุด”


สถิติเกี่ยวกับการใช้มือถือ

  1. คนใช้มือถือมากขึ้นเรื่อย ๆ:
    รายงานจาก DataReportal (2024) ระบุว่า:

    • ผู้ใช้งานมือถือทั่วโลกมีมากกว่า 5.48 พันล้านคน คิดเป็นประมาณ 69% ของประชากรโลก
    • คนใช้มือถือเฉลี่ยประมาณ 3-4 ชั่วโมงต่อวัน บางกลุ่มอายุ เช่น วัยรุ่น อาจใช้ถึง 5-7 ชั่วโมงต่อวัน
  2. ผลกระทบต่อความสัมพันธ์ในครอบครัว:
    • งานวิจัยจาก Pew Research Center ในสหรัฐอเมริกา พบว่า 45% ของคู่รักระบุว่า การใช้มือถือหรือเทคโนโลยีมีผลกระทบต่อความใกล้ชิดในความสัมพันธ์
    • ประมาณ 36% ของพ่อแม่ยอมรับว่าตนเองติดมือถือจนบางครั้งละเลยการใช้เวลากับลูก
  3. สถานการณ์ในประเทศไทย:
    ข้อมูลจาก สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ETDA) ประเทศไทยในปี 2023 พบว่า:

    • คนไทยใช้มือถือเฉลี่ย 7 ชั่วโมง 4 นาทีต่อวัน
    • 68.9% ของคนไทยใช้มือถือในช่วงรับประทานอาหาร
    • 40% ของคนไทยยอมรับว่าติดมือถือจนรู้สึกว่าเวลาส่วนตัวกับครอบครัวลดลง

ปัญหาที่เกิดในสถานที่ต่าง ๆ

  1. ในครอบครัว:
    • เวลารับประทานอาหารกลายเป็นช่วงที่ทุกคนอยู่กับมือถือแทนที่จะพูดคุยกัน
    • พ่อแม่บางคนไม่สามารถแยกตัวจากหน้าจอแม้ในช่วงเวลาที่ลูกต้องการความสนใจ เช่น การช่วยทำการบ้าน
  2. ในที่ทำงาน:
    • 50% ของผู้จัดการที่ตอบแบบสำรวจในไทย ระบุว่าพนักงานเสียสมาธิจากการใช้มือถือในเวลางาน
    • การสื่อสารในที่ทำงานลดคุณภาพลง เพราะบางคนเลือกที่จะตอบข้อความผ่านมือถือมากกว่าการพูดคุยตรงหน้า
  3. ในสังคมทั่วไป:
    • เมื่อไปพบปะเพื่อนหรือออกไปทำกิจกรรม คนส่วนใหญ่มักถ่ายภาพและอัปโหลดในโซเชียลมีเดียแทนที่จะสนทนาหรือมีปฏิสัมพันธ์กับคนรอบข้าง

สรุป

  • ประมาณ 40-70% ของคนในสังคมยุคใหม่ได้รับผลกระทบจากการใช้มือถือในเชิงความสัมพันธ์
  • สถานที่ที่มีผลกระทบมากที่สุดคือ ในครอบครัว และ ในสังคมทั่วไป ซึ่งการขาดการปฏิสัมพันธ์ที่มีคุณภาพเป็นปัญหาหลัก

การใช้มือถือกับผลกระทบทางจิตวิทยาและความสัมพันธ์

งานวิจัยและหลักวิชาการมีการศึกษาเรื่องนี้ไว้อย่างกว้างขวาง เช่น:

1. ผลกระทบของ “Phubbing” ต่อความสัมพันธ์
“Phubbing” (Phone + Snubbing) คือพฤติกรรมเมินเฉยคนตรงหน้าโดยใช้มือถือแทน งานวิจัยจาก University of Kent พบว่าพฤติกรรมนี้สามารถลดความพึงพอใจในความสัมพันธ์ ทั้งในบริบทครอบครัวและคู่รัก เพราะทำให้ผู้ที่ถูกเมินรู้สึกถูกลดความสำคัญ

2. การแบ่งปันความสนใจต่อกัน (Joint Attention)
หลักจิตวิทยาสังคมชี้ว่าการแบ่งปันความสนใจในช่วงเวลาร่วมกันเป็นหัวใจสำคัญของการสร้างความสัมพันธ์ที่ดี หากสายตาหรือจิตใจของฝ่ายหนึ่งอยู่ที่มือถือ แทนที่จะอยู่กับคนตรงหน้า จะทำให้ความสัมพันธ์เสื่อมลงในระยะยาว

3. สมองและการตอบสนองต่อ “การให้ความสำคัญ”
จากการศึกษาของ Harvard University พบว่า สมองของมนุษย์ถูกออกแบบมาให้ตอบสนองต่อความสนใจและการสื่อสารแบบตัวต่อตัวมากกว่าผ่านหน้าจอ เมื่อการสนทนาเกิดขึ้นโดยไม่มีการปฏิสัมพันธ์ทางกาย (เช่น สบตา สีหน้า) การรับรู้ของอีกฝ่ายอาจถูกบั่นทอนว่าความสัมพันธ์นั้นไม่มีความหมาย

4. Social Media และ Dopamine Loop
การติดหน้าจอเกิดจากการหลั่งโดพามีน (Dopamine) ในสมองขณะเราเลื่อนดูฟีดต่าง ๆ โดยสมองจะจดจำสิ่งเหล่านี้ว่าเป็นรางวัล (Reward) ทำให้เกิดพฤติกรรมการเสพติดซ้ำ ๆ อย่างไม่รู้ตัว ซึ่งส่งผลต่อการลดความใส่ใจต่อคนรอบข้างในโลกจริง

5. พฤติกรรม “Second Screen” และการลดประสิทธิภาพในการสื่อสาร
การใช้มือถือในขณะที่กำลังสนทนา (Second Screen Behavior) ทำให้สมองเกิดการแบ่งความสนใจ (Multitasking) ซึ่งตามงานวิจัยของ Stanford University พบว่าประสิทธิภาพในการทำความเข้าใจและการจดจ่อในบทสนทนาจะลดลงถึง 40%


แหล่งข้อมูลที่น่าสนใจ

  1. Roberts, J. A., & David, M. E. (2016). “Phubbing” behaviors and their impact on relationships.
  2. Tomasello, M. (2009). Joint Attention in Social Interaction: The Cognitive Foundations.
  3. Zaki, J. (2014). Empathy and social interaction in the age of technology.
  4. Alter, A. (2017). Irresistible: The Rise of Addictive Technology.
  5. Ophir, E., Nass, C., & Wagner, A. D. (2009). Cognitive control in media multitaskers.

ต้องการมืออาชีพช่วยเขียนบทความ? บริการเขียนบทความ คุณภาพสูง เน้นการปรับแต่งให้เหมาะสมกับรูปแบบธุรกิจและบริการของคุณ!
เพิ่มโอกาสให้เว็บไซต์ของคุณติดอันดับในหน้าแรก ด้วย บทความ SEO ที่มีคุณภาพ ติดต่อเราเพื่อพัฒนากลยุทธ์การตลาดดิจิทัลของคุณวันนี้


Spread the love