1 min read
ไวรัส RSV โรคติดต่ออันตรายของเด็กเล็ก ที่พ่อแม่ต้องเฝ้าระวัง
ไวรัส RSV เป็นไวรัสที่ก่อโรคติดเชื้อที่สามารถติดต่อได้ในระบบทางเดินหายใจ มักเป็นโรคของเด็กเล็ก สามารถแพร่เชื้อผ่านทางสารคัดหลั่งของผู้ป่วย ทำให้เกิดอาการที่คล้ายไข้หวัด ได้แก่ มีไข้ ไอ น้ำมูกไหล ในรายที่มีอาการรุนแรงอาจมีการติดเชื้อที่หลอดลมและเนื้อปอดได้ ปกติแล้วเชื้อไวรัส RSV จะมีการแพร่ระบาดทุกปี และก็พบผู้ป่วยเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะเด็กเล็ก
ไวรัส RSV คืออะไร ทำความเข้าใจและจำให้มั่น
RSV คือชื่อย่อของไวรัส Respiratory Syncytial Virus มักจะพบการติดเชื้อในเด็กอายุต่ำกว่า 3 ปี และก่อโรคในระบบทางเดินหายใจ ไวรัส RSV มีสองสายพันธุ์ คือ RSV-A และ RSV-B ซึ่งสามารถก่อโรคได้ทั้งสองสายพันธุ์
ไวรัส RSV สามารถแพร่ผ่านได้เหมือนกับการเกิดโรคหวัดทั่วไป คือ แพร่ผ่านสารคัดหลั่งของผู้ป่วย เช่น น้ำมูก น้ำลาย โดยเชื้อที่ผ่านออกมาสู่สิ่งแวดล้อมแล้วนั้น จะสามารถมีชีวิตอยู่ได้ประมาณ 30 นาที ถึงหลายชั่วโมง ในผู้ป่วยที่มีการติดเชื้อแล้ว จะมีระยะเวลาในการแพร่เชื้อได้นานถึง 3-8 วัน
อาการหลังได้รับเชื้อ RSV ผู้ป่วยจะมีอาการคล้ายไข้หวัด เช่น มีไข้ ไอ จาม น้ำมูกไหล ซึ่งเป็นอาการที่ไม่รุนแรงมาก แต่หากเป็นการติดเชื้อในผู้ป่วยเด็กเล็ก ที่อายุน้อยกว่า 2 ปี อาจมีการติดเชื้อที่บริเวณหลอดลม รวมถึงปอด ทำให้หลอดลมอักเสบ ปอดอักเสบ โดยมีอาการแสดงคือ มีไข้สูง หอบเหนื่อย ไอรุนแรง หายใจมีเสียงวี๊ด โดยเด็กที่มีภูมิคุ้มกันต่ำและเด็กเล็กจะมีอาการป่วยได้นาน 3-4 สัปดาห์ และอาจมีอาการแทรกซ้อนเกิดขึ้นร่วมด้วย ได้แก่ ภาวะหูอักเสบ ไซนัสอักเสบ ปอดอักเสบ ซึ่งอาการทั้งสามอาการนี้จะเป็นอาการติดเชื้อที่รุนแรงมากขึ้นสำหรับเด็กเล็ก
กลุ่มผู้ป่วยที่หากได้รับเชื้อ RSV นี้แล้วจะทำให้เกิดอาการที่รุนแรงขึ้น ได้แก่ เด็กเล็ก (อายุ 1-2 ปี) เด็กที่คลอดก่อนกำหนด เด็กที่เป็นโรคหัวใจ หรือโรคปอดเรื้อรัง
การรักษาโรคที่เกิดจากไวรัส RSV สามารถทำได้ตามอาการเท่านั้น
โรคที่เกิดจากการติดเชื้อ RSV ซึ่งเป็นการติดเชื้อไวรัสนั้น ยังไม่มียารักษาหรือยาสำหรับฆ่าเชื้อไวรัสได้โดยตรง การรักษานั้นจะเป็นเพียงการรักษาตามอาการเท่านั้น เช่น หากผู้ป่วยมีไข้ ก็จะให้ยาลดไข้ หากมีอาการไอ หรือมีน้ำมูก ก็จะให้ยาแก้ไอ ยาลดน้ำมูกเท่านั้น และเนื่องจากไม่ใช่การติดเชื้อแบคทีเรีย การใช้ยาปฏิชีวนะจึงไม่มีประโยชน์ต่อการรักษา ซ้ำยังอาจจะทำให้เกิดการดื้อยาได้ง่ายขึ้น เว้นแต่ว่าจะเกิดการติดเชื้อแบคทีเรียซ้ำซ้อน ซึ่งในกรณีหลังนี้ จำเป็นต้องใช้ยาปฏิชีวนะเพื่อรักษาการติดเชื้อ
การติดเชื้อ RSV นั้น หากมีอาการไม่รุนแรง สามารถให้การรักษาตามอาการที่บ้านได้ เช่น ใช้ยาลดไข้ ยาแก้ไอ ลดน้ำมูก ซึ่งเด็กเล็กควรหยุดโรงเรียนจนกว่าจะหาย หรืออย่างน้อย 5-7 วัน เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อให้เด็กคนอื่น ซึ่งมีความเสี่ยงที่จะติดเชื้อได้ง่ายเช่นเดียวกัน แต่หากมีอาการที่รุนแรงขึ้น เช่น มีไข้สูง เด็กซึมลง หายใจเร็วขึ้น หายใจมีเสียงวี๊ด หรือมีเสียงครืดคราด ควรพาเด็กมาพบแพทย์ เพื่อวินิจฉัยและให้การรักษาที่เหมาะสม
การป้องกันไวรัส RSV
การป้องกันการติดเชื้อไวรัส RSV นั้น ยังไม่สามารถป้องกันโดยการใช้ยาป้องกัน หรือใช้วัคซีนป้องกันได้ เพราะยังไม่มีการพัฒนายาเหล่านี้ออกมา แต่เราก็ยังสามารถป้องกันตัวเองจากการติดเชื้อนี้ได้ด้วยวิธีเหล่านี้ ได้แก่
1.การล้างมือด้วยสบู่บ่อย ๆ เชื้อไวรัสสามารถถูกกำจัดได้ด้วยสบู่และวิธีการล้างมือที่ถูกต้องได้ถึง 70 เปอร์เซ็นต์ แต่หากอยู่นอกบ้าน ไม่สามารถล้างมือด้วยสบู่ได้ แนะนำให้พกเจลแอลกอฮอล์ติดตัวไว้ และหมั่นใช้บ่อย ๆ
2.สวมหน้ากากอนามัยทุกครั้งที่ออกไปข้างนอกบ้าน ไม่เพียงแต่จะช่วยป้องกันการติดเชื้อนี้ แต่ยังช่วยป้องกันการติดเชื้ออื่น ๆ ได้
3.ไม่ควรพาเด็กเล็กเข้าไปอยู่ในสถานที่ที่แออัด เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่สามารถแพร่เชื้อโรคได้ง่าย และเด็กเล็กยังมีภูมิคุ้มกันต่ำ อาจรับเชื้อได้ง่ายกว่าผู้ใหญ่ หากเด็กป่วย ควรแยกออกจากเด็กปกติ เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อให้เด็กคนอื่น
4.ทำความสะอาดบ้านและของเล่นเด็กเป็นประจำ จะช่วยลดการสะสมของเชื้อโรค
5.รับประทานอาหารสะอาด ถูกสุขลักษณะ ดื่มน้ำมาก ๆ พักผ่อนให้เพียงพอ
สรุป
โดยสรุปแล้ว โรคติดเชื้อที่เกิดจากไวรัส RSV นั้นเป็นโรคที่มักพบได้ในเด็ก มีอาการแสดงคล้ายไข้หวัด ในเด็กทั่วไป อาการจะไม่รุนแรงมาก แต่หากเป็นเด็กเล็ก เด็กที่คลอดก่อนกำหนด เด็กที่เป็นโรคหัวใจ หรือโรคปอดเรื้อรัง อาจมีความเสี่ยงที่จะมีอาการรุนแรงขึ้น หรือมีโอกาสที่จะเกิดภาวะแทรกซ้อนตามมาได้มากกว่าเด็กทั่วไป การรักษานั้นจะเป็นการรักษาตามอาการ และควรให้เด็กหยุดโรงเรียนเพื่อป้องกันการแพร่เชื้อให้เด็กคนอื่น ส่วนการป้องกันนั้นสามารถทำได้โดยการล้างมือบ่อย ๆ
เครดิตภาพ : https://pixabay.com
ต้องการมืออาชีพช่วยเขียนบทความ?
บริการเขียนบทความ
คุณภาพสูง เน้นการปรับแต่งให้เหมาะสมกับรูปแบบธุรกิจและบริการของคุณ!
เพิ่มความสามารถในการแข่งขันด้วย
บทความ SEO
ที่ช่วยเพิ่มอันดับการค้นหาของเว็บไซต์ของคุณ
ติดต่อตอนนี้เพื่อพัฒนากลยุทธ์การตลาดดิจิทัลของคุณ