1 min read
เทคนิคการเขียน Title Tag และ Meta Description ดึงดูดใจผู้อ่าน
เขียน Title Tag และ Meta Description ดีๆ แต่คนไม่คลิกเข้าเว็บไซต์ บทความนี้จะมาบอกเทคนิคการเขียน Title Tag และ Meta Description ดึงดูดใจผู้อ่าน
เทคนิคการเขียน Title Tag
-
สั้น กระชับ ตรงประเด็น: จำกัด Title Tag ไว้ที่ 60 ตัวอักษร
-
ใส่คีย์เวิร์ด: ใส่คีย์เวิร์ดที่คนค้นหา
-
ดึงดูดใจ: เขียนให้คนอยากคลิก
-
ตัวอย่าง:
- Title Tag ดี: “5 เทคนิคแต่งหน้าใส สไตล์เกาหลี ฉบับมือใหม่”
- Title Tag ไม่ดี: “เทคนิคแต่งหน้า”
เทคนิคการเขียน Meta Description
- Meta Description: ควรมีจำนวนคำประมาณ 150-160 ตัวอักษร
-
อธิบายเนื้อหา: อธิบายคร่าวๆ ว่าหน้าเว็บนี้เกี่ยวกับอะไร
-
ใส่คีย์เวิร์ด: ใส่คีย์เวิร์ดที่คนค้นหา
-
ดึงดูดใจ: เขียนให้คนอยากคลิก
-
ตัวอย่าง:
- Meta Description ดี: “เรียนรู้ 5 เทคนิคแต่งหน้าใส สไตล์เกาหลี แต่งหน้าเองได้ง่ายๆ โดยไม่ต้องง้อช่าง”
- Meta Description ไม่ดี: “เทคนิคแต่งหน้ามากมาย”
สรุป (Conclusion):
การเขียน Title Tag และ Meta Description ที่ดี ช่วยดึงดูดใจผู้อ่าน
ผลเสียของการไม่เขียน Title Tag และ Meta Description
Title Tag:
- ไม่แสดงชื่อหน้าเว็บบนหน้าผลการค้นหา: แสดง URL แทน
- ผู้ใช้อาจเข้าใจผิดว่าหน้าเว็บเกี่ยวกับอะไร: ลดโอกาสคลิก
- เสียโอกาสดึงดูดผู้ใช้: อันดับ SEO ต่ำลง
Meta Description:
- ไม่แสดงคำอธิบายหน้าเว็บบนหน้าผลการค้นหา: แสดงข้อความจากเนื้อหาเว็บแทน
- ผู้ใช้อาจเข้าใจผิดว่าหน้าเว็บเกี่ยวกับอะไร: ลดโอกาสคลิก
- เสียโอกาสดึงดูดผู้ใช้: อันดับ SEO ต่ำลง
ในปี 2567 การเขียน Title Tag, Meta Description และ Keyword ยังจำเป็นอยู่
เหตุผล:
- ช่วยให้ Google เข้าใจเนื้อหาของหน้าเว็บ: ส่งผลต่ออันดับ SEO
- ดึงดูดผู้ใช้ที่ค้นหา keyword: เพิ่มโอกาสคลิก
- เป็นส่วนหนึ่งของ On-Page SEO: ปรับแต่งหน้าเว็บให้เหมาะกับ Search Engine
อย่างไรก็ตาม รูปแบบการเขียนมีการเปลี่ยนแปลงไป:
- เน้นความกระชับ ตรงประเด็น: Title Tag ไม่เกิน 60 ตัวอักษร, Meta Description ไม่เกิน 160 ตัวอักษร
- ใช้ keyword ธรรมชาติ: เขียนให้ลื่นไหล อ่านเข้าใจง่าย
- หลีกเลี่ยงการ spam keyword: ใส่ keyword เยอะเกินไป
- เน้นเนื้อหา: เขียนเนื้อหาที่มีคุณภาพ น่าสนใจ
- ใช้เครื่องมือ SEO: ตรวจสอบความยาว Title Tag และ Meta Description
- ทดสอบ A/B: ทดสอบ Title Tag, Meta Description เวอร์ชั่นต่างๆ
- วิเคราะห์คีย์เวิร์ด: ศึกษาว่าผู้ใช้ค้นหาอะไร
สรุป:
การเขียน Title Tag, Meta Description และ Keyword ยังจำเป็น แต่รูปแบบการเขียนมีการเปลี่ยนแปลง เน้นความกระชับ ตรงประเด็น ดึงดูดใจ และใช้ keyword ธรรมชาติ ควบคู่ไปกับการเขียนเนื้อหาที่มีคุณภาพ
Title Tag และ Meta Description มีผลกับ Search Engine หลักๆ ดังนี้
- Google: แสดง Title Tag และ Meta Description บนหน้าผลการค้นหา (SERPs)
- Bing: แสดง Title Tag และ Meta Description บน SERPs
- Yahoo: แสดง Title Tag และ Meta Description บน SERPs
- DuckDuckGo: แสดง Title Tag บน SERPs แต่ไม่แสดง Meta Description
- Baidu: แสดง Title Tag และ Meta Description บน SERPs (สำหรับการค้นหาภาษาจีน)
SERPs คืออะไร? SERPs ย่อมาจาก Search Engine Results Page แปลเป็นไทยว่า หน้าแสดงผลการค้นหาบน Search Engine
สรุป:
Title Tag และ Meta Description มีผลกับ Search Engine หลายตัว การเขียน Title Tag และ Meta Description ที่ดี จะช่วยดึงดูดความสนใจผู้ใช้ เพิ่มอันดับ SEO และเพิ่ม Traffic ให้กับเว็บไซต์ของคุณ
Title Tag, Meta Description สำคัญต่อการทำ SEO ขนาดไหน?
Title Tag และ Meta Description เป็นสององค์ประกอบสำคัญบนหน้าเว็บไซต์ ซึ่งส่งผลต่อ SEO ดังนี้:
อันดับบนหน้าผลการค้นหา (SERP)
- Title Tag: Search Engine ใช้ Title Tag ในการระบุหัวเรื่องและเนื้อหาของหน้าเว็บ Title Tag ที่ดีจะช่วยให้ Search Engine เข้าใจเนื้อหาและจัดอันดับหน้าเว็บได้อย่างถูกต้อง
- Meta Description: แม้ว่า Meta Description ไม่ได้ส่งผลโดยตรงต่ออันดับบน SERP แต่ Meta Description ที่ดีจะดึงดูดผู้ใช้ให้คลิกเข้ามาดูหน้าเว็บ ส่งผลต่อ Click-through rate (CTR) ซึ่ง CTR ที่ดีส่งผลต่ออันดับบน SERP ในทางอ้อม
สรุป
Title Tag และ Meta Description ช่วยให้ Search Engine เข้าใจเนื้อหาของหน้าเว็บ Title Tag ส่งผลต่ออันดับบนหน้าผลการค้นหา (SERP) Meta Description ดึงดูดผู้ใช้ให้คลิกเข้ามาดูหน้าเว็บ เขียน Title Tag และ Meta Description ที่ดี ดึงดูดผู้ใช้ และเพิ่ม Traffic
ต้องการมืออาชีพช่วยเขียนบทความ?
บริการเขียนบทความ
คุณภาพสูง เน้นการปรับแต่งให้เหมาะสมกับรูปแบบธุรกิจและบริการของคุณ!
เพิ่มความสามารถในการแข่งขันด้วย
บทความ SEO
ที่ช่วยเพิ่มอันดับการค้นหาของเว็บไซต์ของคุณ
ติดต่อเราตอนนี้เพื่อพัฒนากลยุทธ์การตลาดดิจิทัลของคุณ!