Spread the love

1 min read

นโยบายค่าคอมมิชชั่นทำพนักงานขายรวยแต่บริษัทกลับขาดทุน

นโยบายค่าคอมมิชชั่น

ในโลกธุรกิจ นโยบายค่าคอมมิชชั่นเปรียบเสมือนเครื่องมือกระตุ้นแรงจูงใจ ช่วยให้พนักงานขายทุ่มเททำงานเพื่อบรรลุเป้าหมาย นำมาซึ่งยอดขายที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างไรก็ตาม นโยบายค่าคอมมิชชั่นที่ออกแบบมาไม่ดี อาจกลายเป็นดาบสองคม ฟันกลับมาทำร้ายบริษัท จนส่งผลให้เกิดปัญหา “พนักงานขายรวย แต่บริษัทขาดทุน”

สาเหตุหลักๆ ที่นำไปสู่ปัญหานี้มีดังนี้:

  • นโยบายค่าคอมมิชชั่นที่เน้นยอดขายเพียงอย่างเดียว: โดยไม่คำนึงถึงกำไรสุทธิ ทำให้พนักงานขายมุ่งเน้นไปที่การขายสินค้าที่มีมาร์จิ้นสูง แม้ว่าจะส่งผลต่อต้นทุนและค่าใช้จ่ายของบริษัทที่สูงขึ้น
  • การขาดระบบควบคุมต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ: ส่งผลให้บริษัทมีค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น สูญเสียเงินทุน
  • ช่องโหว่ในระบบค่าคอมมิชชั่น: ที่เอื้อประโยชน์ให้พนักงาน หัวหน้างานสามารถหาช่องทางเพิ่มค่าคอมมิชชั่น โดยไม่คำนึงถึงผลประโยชน์ของบริษัท
  • การสื่อสารที่ไม่ชัดเจน: ระหว่างบริษัทกับพนักงานขาย เกี่ยวกับนโยบายค่าคอมมิชชั่น แนวทางปฏิบัติ และข้อมูลที่เกี่ยวข้อง

ผลกระทบของปัญหานี้:

  • บริษัทขาดทุน: แม้ว่าจะมียอดขายสูง แต่ต้นทุนและค่าใช้จ่ายที่สูง ส่งผลให้บริษัทขาดทุนหรือกำไรน้อยกว่าความเป็นจริง
  • ความเสียหายต่อชื่อเสียง: กรณีมีการเปิดเผยข้อมูลว่าพนักงานขายมีรายได้สูง แต่บริษัทขาดทุน อาจส่งผลเสียต่อชื่อเสียงของบริษัท
  • ปัญหาความสัมพันธ์: ระหว่างบริษัทกับพนักงานขาย อาจเกิดความไม่ไว้วางใจ นำไปสู่ปัญหาความสัมพันธ์ที่ตึงเครียด
  • เกิดปัญหาการเรียนแบบ: พนักงานเห็นช่องทางหาเงินที่ไม่ควรได้รับ ทำให้เกิดการเรียนแบบต่อๆ กันไป

กรณีศึกษา: บริษัท A ทำข้อตกลงกับ Sales

รายละเอียดกรณีศึกษา

บริษัท A ทำสัญญากับ Sales กำหนดค่าคอมมิชชั่นดังนี้

  • Sales ได้รับค่าคอมมิชชั่น 5% จากยอดกำไรสุทธิ ในแต่ละงานที่บริษัทได้รับ
  • Sales ได้รับค่าคอมมิชชั่นหลังจาก บริษัท A ได้รับเงินจากลูกค้าครบถ้วน
  • Sales ได้รับค่าคอมมิชชั่น ในงวดการจ่ายเงินเดือนในรอบถัดไป

บริษัท A ส่ง Sales ไปพบลูกค้า B และทำการขายงานได้

  • Sales ดีใจมากว่าขายของได้และหวังว่าจะได้ค่าคอม 5%
  • Sales ติดตามงานนี้อย่างใกล้และติดตามการทำงานเพื่อให้งานเสร็จสิ้นตามกำหนด โดยงานนี้มีกำหนดระยะเวลา 30 วันงานต้องเสร็จ
  • ลูกค้า B ก็พร้อมชำระเงินทันทีหลังจากที่ได้ทำการตรวจรับงานถูกต้อง
  • ในช่วงเวลาทำงาน 30 วันบริษัท A ต้องลงทุนซื้ออุปกณ์ขนาดใหญ่ และเล็กต่างๆ จ้างแรงงาน ใช้เงินกู้ที่บริษัท A ไปกู้มาเพื่อทำงานนี้
  • หลังจากทำงานมา 30 วันบริษัท A ก็สามารถทำงานได้เสร็จสิ้น
  • ลูกค้า B ทำการเข้าตรวจงาน แต่งานไม่ผ่านตามมาตรฐานที่ได้ตกลงกันไว้ทำให้ต้องแก้ไขงานในส่วนต่างๆ จึงจำเป็นต้องขยายเวลาออกไปอีก 3 เดือน รวมกันเดือนแรกเป็น 4 เดือน
  • หลังจาก 4 เดือนก็สามารถจบงานนี้ลงได้เรียบร้อย

Sales จะได้รับค่าคอมมิชชั่นเท่าไร

  • งานนี้บริษัท A มีรายจ่ายคือ
    • ข้อ 1. ลงทุนไปลงทุนซื้ออุปกรณ์ขนาดใหญ่ และเล็กต่างๆ ยกตัวอย่าง 100,000 บาท (เฉพาะโครงการนี้)
    • ข้อ 2. ค่าแรงงาน ยกตัวอย่าง 200,000 บาท (เฉพาะโครงการนี้)
    • ข้อ 3. ต้นทุนทางการเงิน (ดอกเบี้ย 4 เดือน) ยกตัวอย่าง 8,000 บาท (เฉพาะโครงการนี้)
    • ข้อ 4. บริหารงานในฝ่ายที่ทำงานในเรื่องนี้ ยกตัวอย่าง 150,000 บาท (เฉพาะโครงการนี้)
    • ข้อ 5. ค่าเสื่อมราคาต่างๆ 10,000 บาท (เฉพาะโครงการนี้)
    • ข้อ 6. รายจ่ายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องอีก 5,000 บาท (เฉพาะโครงการนี้)
  • ดังนั้นต้นทุนในงานนี้คือ 100,000+200,000+8,000+150,000+10,000+5,000 = 473,000 บาท ในขณะที่งานนี้รับงานมาอยู่ที่ 1,000,000 บาท
  • หากคิดตามนี้กำไรจะเท่ากับ 1,000,000 – 473,000 = 527,000 บาท

Sales จะได้รับค่าคอมมิชชั่น 527,000 x 5% = 26,250 บาท
แต่ปัญหาไม่ได้จบลงแค่นี้ปัญหาคือ Sales แจ้งว่า รายจ่ายต่างๆ ที่นำมาลงในโครงการนี้ไม่เป็นธรรมโดยมีข้อโต้แย้งหลายอย่าง


ข้อโต้แย้งของ Sales:

  • ข้อ 1: ค่าอุปกรณ์ซื้อมาแล้ว สามารถใช้งานกับงานอื่นได้ ไม่เกี่ยวข้องกับงานนี้โดยตรง
  • ข้อ 2: ค่าแรงงาน ยกตัวอย่าง 200,000 บาท ข้อนี้คือต้นทุนเพียงข้อเดียวเท่านั้น
  • ข้อ 3: ต้นทุนทางการเงิน (ดอกเบี้ย 4 เดือน) เป็นค่าใช้จ่ายของบริษัท ไม่เกี่ยวข้องกับงานนี้โดยตรง
  • ข้อ 4: บริหารงานในฝ่ายที่ทำงานในเรื่องนี้ เป็นค่าใช้จ่ายของบริษัท ไม่เกี่ยวข้องกับงานนี้โดยตรง
  • ข้อ 5: ค่าเสื่อมราคาต่างๆ 10,000 บาท เป็นค่าใช้จ่ายของบริษัท ไม่เกี่ยวข้องกับงานนี้โดยตรง
  • ข้อ 6: รายจ่ายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องอีก 5,000 บาท เป็นค่าใช้จ่ายของบริษัท ไม่เกี่ยวข้องกับงานนี้โดยตรง

ดังนั้น Sales แจ้งว่ากำไรสุทธิของโครงการนี้คือ 1,000,000-200,000 (ค่าแรงงาน) = 800,000 บาท ดังนั้น

ที่ทางบริษัทคิดมาคือ 1,000,000 – 473,000 = 527,000 บาท

ที่ทาง Sales คิดมาคือ 1,000,000 – 200,000 = 800,000 บาท

ต่างกัน 273,000 บาท


เรามาดูกรณีข้อโต้แย้งของ Sales ว่าควรเป็นเช่นไร:

จากข้อมูลในกรณีศึกษา ต้นทุนของโครงการนี้ ประกอบด้วยรายการดังต่อไปนี้

1. ต้นทุนโดยตรง:

  • ค่าแรงงาน
  • ค่าเสื่อมราคาอุปกรณ์เฉพาะโครงการ
  • วัสดุสิ้นเปลืองที่ใช้เฉพาะโครงการ
  • ค่าขนส่งที่เกี่ยวข้องกับโครงการโดยตรง
  • ค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับโครงการโดยตรง

2. ต้นทุนทางอ้อม:

  • ค่าเสื่อมราคาอุปกรณ์ใช้งานทั่วไป (จัดสรรตามสัดส่วนการใช้งาน)
  • ค่าใช้จ่ายฝ่ายขายและบริหาร (จัดสรรตามสัดส่วนที่เหมาะสม)

3. ต้นทุนทางการเงิน:

  • ดอกเบี้ยเงินกู้ที่ใช้สำหรับโครงการนี้

รายการที่ไม่ใช่ต้นทุนของโครงการ:

  • ค่าอุปกรณ์ใช้งานทั่วไปที่ซื้อมาแล้ว แต่ยังไม่ได้นำมาใช้กับโครงการนี้
  • ต้นทุนทางการเงินที่ไม่เกี่ยวข้องกับโครงการนี้
  • ค่าใช้จ่ายฝ่ายขายและบริหารที่ไม่เกี่ยวข้องกับโครงการนี้
  • ค่าเสื่อมราคาอุปกรณ์ที่ไม่เกี่ยวข้องกับโครงการนี้
  • รายจ่ายอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับโครงการนี้

หมายเหตุ:

  • การจัดสรรต้นทุนทางอ้อม และต้นทุนทางการเงิน ควรใช้วิธีการที่เหมาะสม และสอดคล้องกับนโยบายของบริษัท
  • บริษัทควรมีระบบบัญชีที่ชัดเจน แยกประเภทต้นทุน บันทึกข้อมูล และคำนวณต้นทุนโครงการอย่างถูกต้อง
  • ควรทบทวนวิธีการจัดสรรต้นทุนเป็นประจำ ให้เหมาะสมกับสถานการณ์

ตัวอย่างการคำนวณต้นทุนโครงการ:

ต้นทุนโดยตรง = ค่าแรงงาน + ค่าเสื่อมราคาอุปกรณ์เฉพาะโครงการ + วัสดุสิ้นเปลืองที่ใช้เฉพาะโครงการ + ค่าขนส่งที่เกี่ยวข้องกับโครงการโดยตรง + ค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับโครงการโดยตรง

ต้นทุนทางอ้อม = ค่าเสื่อมราคาอุปกรณ์ใช้งานทั่วไป (จัดสรรตามสัดส่วนการใช้งาน) + ค่าใช้จ่ายฝ่ายขายและบริหาร (จัดสรรตามสัดส่วนที่เหมาะสม)

ต้นทุนทางการเงิน = ดอกเบี้ยเงินกู้ที่ใช้สำหรับโครงการนี้

ต้นทุนโครงการ = ต้นทุนโดยตรง + ต้นทุนทางอ้อม + ต้นทุนทางการเงิน


การวิเคราะห์ข้อโต้แย้งของ Sales

Sales มีข้อโต้แย้งเกี่ยวกับรายการต้นทุนที่บริษัทนำมาหักจากยอดขายเพื่อคำนวณกำไรสุทธิ ส่งผลต่อค่าคอมมิชชั่นที่ Sales ได้รับ มาวิเคราะห์แต่ละข้อดังนี้:

1. ค่าอุปกรณ์:

Sales อ้างว่าค่าอุปกรณ์ที่ซื้อมาสามารถใช้งานกับงานอื่นได้ ไม่ควรนำมาหักเป็นต้นทุนของโครงการนี้ทั้งหมด

มุมมองของบริษัท:

บริษัทอาจพิจารณาใช้วิธีการคำนวณค่าเสื่อมราคา โดยเฉลี่ยอายุการใช้งานของอุปกรณ์ และนำค่าเสื่อมราคาส่วนที่เกี่ยวข้องกับโครงการนี้มาหักเป็นต้นทุน วิธีนี้ช่วยให้กระจายภาระค่าใช้จ่ายไปตามระยะเวลาที่ใช้งานจริง

2. ค่าแรงงาน:

Sales มองว่าค่าแรงงานเป็นเพียงต้นทุนเดียวที่เกี่ยวข้องกับโครงการ

มุมมองของบริษัท:

บริษัทอาจอธิบายว่า โครงการนี้ต้องใช้อุปกรณ์ วัสดุสิ้นเปลือง ค่าขนส่ง ค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการ และค่าใช้จ่ายอื่นๆ เพิ่มเติม ซึ่งล้วนเป็นต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับโครงการนี้โดยตรง และควรนำมารวมในการคำนวณกำไรสุทธิ

3. ต้นทุนทางการเงิน:

Sales มองว่าดอกเบี้ยเงินกู้เป็นค่าใช้จ่ายของบริษัท ไม่เกี่ยวข้องกับโครงการ

มุมมองของบริษัท:

บริษัทอาจอธิบายว่า เงินกู้ที่นำมาใช้เพื่อ financer โครงการนี้ สมควรมีค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยเป็นต้นทุนของโครงการ

4. บริหารงานในฝ่ายที่ทำงานในเรื่องนี้:

Sales มองว่าค่าใช้จ่ายฝ่ายบริหารเป็นค่าใช้จ่ายของบริษัท ไม่เกี่ยวข้องกับโครงการ

มุมมองของบริษัท:

บริษัทอาจใช้วิธีการจัดสรรค่าใช้จ่ายฝ่ายบริหารตามสัดส่วนที่เหมาะสม เช่น ตามเวลาที่ใช้ ตามจำนวนพนักงาน หรือตามยอดขาย เพื่อนำส่วนที่เกี่ยวข้องกับโครงการนี้มาหักเป็นต้นทุน

5. ค่าเสื่อมราคาต่างๆ:

Sales มองว่าค่าเสื่อมราคาอุปกรณ์อื่นๆ เป็นค่าใช้จ่ายของบริษัท ไม่เกี่ยวข้องกับโครงการ

มุมมองของบริษัท:

บริษัทอาจใช้วิธีการเดียวกับข้อ 4 ในการจัดสรรค่าเสื่อมราคาอุปกรณ์อื่นๆ ตามสัดส่วนที่เหมาะสม

6. รายจ่ายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง:

Sales มองว่ารายจ่ายอื่นๆ เป็นค่าใช้จ่ายของบริษัท ไม่เกี่ยวข้องกับโครงการ

มุมมองของบริษัท:

บริษัทควรตรวจสอบรายจ่ายอื่นๆ เหล่านี้ แยกประเภท และพิจารณาว่ารายการใดเกี่ยวข้องกับโครงการโดยตรง นำมารวมเป็นต้นทุน ส่วนที่ไม่เกี่ยวข้อง ไม่ควรนำมาหัก

สรุป:

ข้อโต้แย้งของ Sales มีมูลเหตุบางประการ บริษัทควรพิจารณาปรับวิธีการคำนวณต้นทุนโครงการ โดยใช้วิธีการจัดสรรค่าใช้จ่ายที่เหมาะสม สอดคล้องกับหลักการบัญชี และสื่อสารนโยบายค่าคอมมิชชั่นให้ชัดเจน เพื่อสร้างความเข้าใจและความเป็นธรรมกับ Sales และบริษัท


หากบริษัทดำเนินการตามข้อเสนอแนะของ Sales ผลลัพธ์ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นมีดังนี้:

1. กำไรสุทธิของโครงการจะสูงขึ้น:

  • กำไรสุทธิจะคำนวณโดยหักเฉพาะค่าแรงงาน (฿200,000) ออกจากยอดขาย (฿1,000,000) ส่งผลให้กำไรสุทธิอยู่ที่ ฿800,000
  • Sales จะได้รับค่าคอมมิชชั่น 5% ของกำไรสุทธิ ฿800,000 คิดเป็นเงิน ฿40,000 ซึ่งมากกว่าค่าคอมมิชชั่นที่คำนวณตามวิธีของบริษัท (฿26,350)

2. แรงจูงใจของ Sales เพิ่มขึ้น:

  • Sales จะมีแรงจูงใจมากขึ้นในการขายงานที่มีมาร์จิ้นสูง เนื่องจากค่าคอมมิชชั่นจะคำนวณจากยอดขายทั้งหมด โดยไม่ต้องหักค่าใช้จ่ายอื่นๆ
  • Sales อาจมุ่งเน้นไปที่การขายงานระยะสั้น โดยไม่คำนึงถึงผลลัพธ์ในระยะยาว หรือความสัมพันธ์กับลูกค้า

3. ผลกระทบต่อบริษัท:

  • บริษัทอาจสูญเสียกำไร หาก Sales มุ่งเน้นไปที่การขายงานที่มีมาร์จิ้นสูง แต่มีต้นทุนแฝงสูง
  • บริษัทอาจเผชิญกับปัญหาการควบคุมต้นทุน หาก Sales ไม่มีแรงจูงใจในการควบคุมค่าใช้จ่าย
  • ความสัมพันธ์ระหว่างบริษัทกับ Sales อาจตึงเครียด หาก Sales มองว่าบริษัทไม่ยุติธรรมในการคำนวณค่าคอมมิชชั่น

4. ประเด็นทางจริยธรรม:

  • การคำนวณค่าคอมมิชชั่นเฉพาะจากยอดขาย โดยไม่หักค่าใช้จ่าย อาจขัดต่อหลักการบัญชี และอาจนำไปสู่การบิดเบือนผลประกอบการ
  • Sales อาจมีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม เช่น เสนอราคาที่สูงเกินจริง หรือหลอกลวงลูกค้า เพื่อเพิ่มยอดขายและค่าคอมมิชชั่น
  • มีการจับมือกันระหว่าง Sales กับลูกค้าโดยเสนอว่าราคาที่เสนอไม่จำเป็นต้องชำระเงินเร็ว เพราะบริษัทไม่ได้สนใจเรื่องระยะเวลาในการจ่ายเงินไม่นำมาเป็นต้นทุน ดังนั้น Sales สามารถนำจุดนี้ไปเป็นแรงจูงใจให้ลูกค้าซื้อสินค้าหรือบริการได้
  • การดำเนินการแบบนี้มักได้รับแรงจูงใจมาตั้งแต่ระดับหัวหน้าระดับสูง หัวหน้าฝ่าย Sales และผู้ที่เกี่ยวข้องแต่ผลเสียมักตกลงที่ตัวบริษัท
  • นโยบายที่ผิดพลาดไม่นำต้นทุนที่แท้จริงมาลง ส่งผลเสียต่อทั้งบริษัท ผู้ถือหุ้น และภาพลักษณ์ของบริษัทในระยะยาว บริษัทอาจประสบปัญหาทางการเงิน ถูกดำเนินคดี และสูญเสียความเชื่อมั่นจากผู้มีส่วนได้เสีย

โดยสรุป: การคำนวณค่าคอมมิชชั่นตามข้อเสนอแนะของ Sales อาจส่งผลดีต่อ Sales ในแง่ของแรงจูงใจและรายได้ แต่ส่งผลเสียต่อบริษัทในแง่ของกำไร ต้นทุน และความสัมพันธ์กับ Sales บริษัทควรพิจารณาผลกระทบเหล่านี้ อย่างรอบคอบ และหาจุดสมดุลระหว่างผลประโยชน์ของบริษัทกับ Sales โดยคำนึงถึงหลักการบัญชี จริยธรรม และความยั่งยืนของธุรกิจ


ผลกระทบต่อผู้ถือหุ้น กรณีนโยบายค่าคอมมิชชั่นขัดผลประโยชน์ระหว่างบริษัทกับพนักงานขาย

นโยบายค่าคอมมิชชั่นที่ไม่เหมาะสม โดยเฉพาะกรณีที่มีช่องโหว่เอื้อประโยชน์ให้พนักงานขาย ย่อมส่งผลเสียต่อผลประกอบการของบริษัท ซึ่งในที่สุดส่งผลต่อผู้ถือหุ้นโดยตรง ดังนี้

1. ผลตอบแทนจากการลงทุนลดลง:

  • กำไรสุทธิของบริษัทลดลง ส่งผลต่ออัตราผลตอบแทนจากเงินลงทุน (ROI) ของผู้ถือหุ้น
  • เงินปันผลที่จ่ายให้ผู้ถือหุ้นอาจลดลง
  • มูลค่าหุ้นอาจลดลง

2. ความเสี่ยงทางธุรกิจเพิ่มขึ้น:

  • บริษัทเผชิญความเสี่ยงต่อการสูญเสียกำไร หาก Sales มุ่งเน้นไปที่การเพิ่มยอดขาย โดยไม่คำนึงถึงต้นทุนและผลกำไร
  • บริษัทเผชิญความเสี่ยงด้านภาพลักษณ์ หากมีการเปิดเผยว่าบริษัทมีนโยบายค่าคอมมิชชั่นที่ไม่โปร่งใส หรือเอื้อประโยชน์แก่ Sales
  • บริษัทเผชิญความเสี่ยงด้านกฎหมาย หากนโยบายค่าคอมมิชชั่นขัดต่อกฎหมายหรือหลักการบัญชี

3. สูญเสียความเชื่อมั่นของนักลงทุน:

  • หากนักลงทุนสูญเสียความเชื่อมั่นต่อการบริหารงาน หรือกลยุทธ์ของบริษัท อาจส่งผลต่อราคาหุ้นในตลาด
  • นักลงทุนอาจเทขายหุ้น ส่งผลต่อสภาพคล่องทางการเงินของบริษัท

การวิเคราะห์กระแสเงินสดจากกิจกรรมดำเนินงาน: กระแสเงินสดจากกิจกรรมดำเนินงาน แสดงให้เห็นว่าบริษัทมีเงินสดหมุนเวียนจากการดำเนินงานปกติหรือไม่ หากกระแสเงินสดจากกิจกรรมดำเนินงานติดลบ อาจบ่งชี้ว่าบริษัทมีปัญหาสภาพคล่องจะส่วนหนึ่งมาจากนโยบายค่าคอมมิชชั่นขัดผลประโยชน์ระหว่างบริษัทกับพนักงานขาย หรือนโยบายค่าคอมมิชชั่นที่ไม่ถูกต้อง

สรุปประเด็น “พนักงานขายมีรายได้ดี แต่บริษัทขาดทุน”

จากกรณีศึกษาที่นำเสนอ พบว่านโยบายค่าคอมมิชชั่นของบริษัท มีช่องโหว่ที่อาจนำไปสู่ปัญหาความขัดแย้งระหว่างบริษัทกับพนักงานขาย (Sales) สาเหตุหลักมาจากความคลุมเครือในการกำหนดรายการต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับโครงการ

ผลลัพธ์ที่เป็นไปได้:

  • Sales มีรายได้ดี: Sales ได้รับค่าคอมมิชชั่นสูง จากยอดขายที่สูง โดยไม่คำนึงถึงต้นทุนที่แท้จริง
  • บริษัทขาดทุน: บริษัทสูญเสียกำไร เนื่องจากคำนวณต้นทุนต่ำเกินไป หรือมีค่าใช้จ่ายแฝงสูง

ปัจจัยที่ทำให้เกิดขึ้น:

  • นโยบายค่าคอมมิชชั่นที่ไม่เหมาะสม: นโยบายที่คำนวณค่าคอมมิชชั่นจากยอดขายเพียงอย่างเดียว โดยไม่หักต้นทุน หรือหักต้นทุนไม่ครบถ้วน
  • การควบคุมต้นทุนที่ไม่มีประสิทธิภาพ: บริษัทไม่มีระบบควบคุมต้นทุนที่ดี Sales จึงสามารถใชจ่ายเงินได้อย่างอิสระ โดยไม่คำนึงถึงผลกำไร
  • ช่องโหว่ในระบบ: Sales อาจใช้ช่องโหว่ในระบบ เพื่อเบียดบังยอดขาย หรือเพิ่มค่าใช้จ่ายโดยไม่จำเป็น

ผลกระทบ:

  • บริษัทสูญเสียกำไร: ส่งผลต่อผลประกอบการ และอาจนำไปสู่ปัญหาทางการเงินในระยะยาว
  • บริษัทสูญเสียความสามารถในการใช้กระแสเงินสด : กระแสเงินสดลดลงและนำไปสู่การขาดสภาพคล่อง
  • ความสัมพันธ์ระหว่างบริษัทกับ Sales ตึงเครียด: Sales อาจรู้สึกไม่พอใจ หากบริษัทปรับเปลี่ยนนโยบายค่าคอมมิชชั่น
  • ภาพลักษณ์ของบริษัทเสียหาย: หากมีการเปิดเผยว่าบริษัทมีนโยบายค่าคอมมิชชั่นที่ไม่เหมาะสม อาจส่งผลเสียต่อชื่อเสียง
  • ความขัดแย้งทางผลประโยชน์: ผู้ร่วมกระทำผิดอาจมีความขัดแย้งทางผลประโยชน์ เช่น แบ่งปันผลประโยชน์ที่ได้มาจากการกระทำผิด ความขัดแย้งเหล่านี้ ส่งผลต่อความสัมพันธ์ระหว่างผู้ร่วมกระทำผิด และอาจนำไปสู่การหักหลัง
  • ความสูญเสียมิตรภาพ: ผู้ร่วมกระทำผิดอาจสูญเสียมิตรภาพ สูญเสียความสัมพันธ์ที่ดีกับบุคคลอื่น

นโยบายที่ผิดพลาด:

  • การใช้นโยบายที่ผิดพลาด ไม่นำต้นทุนที่แท้จริงมาลง ส่งผลเสียต่อทั้งบริษัท ผู้ถือหุ้น และภาพลักษณ์ของบริษัทในระยะยาว บริษัทอาจประสบปัญหาทางการเงิน ถูกดำเนินคดี และสูญเสียความเชื่อมั่นจากผู้มีส่วนได้เสียและส่งผลเสียระยะยาว

นโยบายค่าคอมมิชชั่นที่ดีควรออกแบบมาเพื่อสร้างแรงจูงใจให้ Sales ทำงานเพื่อบรรลุเป้าหมายขององค์กร ควบคู่ไปกับการรักษาผลประโยชน์ของบริษัท การสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ การควบคุมต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ และระบบที่โปร่งใส ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้บริษัทบรรลุเป้าหมาย สร้างผลกำไรที่ยั่งยืน และรักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับ Sales

ต้องการมืออาชีพช่วยเขียนบทความ? บริการเขียนบทความ คุณภาพสูง เน้นการปรับแต่งให้เหมาะสมกับรูปแบบธุรกิจและบริการของคุณ เพิ่มความสามารถในการแข่งขันด้วย บทความ SEO ที่ช่วยเพิ่มอันดับการค้นหาของเว็บไซต์ของคุณ ติดต่อตอนนี้เพื่อพัฒนากลยุทธ์การตลาดดิจิทัลของคุณ

นกเหยี่ยว

นามปากกา: นกเหยี่ยว (Falcon)

ความรู้คือปีกที่พาเราโบยบิน ความคิดคือท้องฟ้าที่ไม่มีที่สิ้นสุด จบการศึกษาปริญญาโทด้านวรรณคดีจากมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย รักการเขียนและการศึกษาข้อมูลใหม่ ๆ มีประสบการณ์การเขียนบทความกว่า 8 ปี เชี่ยวชาญในการเขียนบทความ SEO และการใช้สื่อสังคมออนไลน์ แรงบันดาลใจในการเขียนเพื่อสร้างความตระหนักรู้ในสังคมและส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์

LINE OA: @writerid


Spread the love