1 min read
คำถามคาใจนักเขียน บทความ SEO เขียนยังไงให้ปังดังอย่างเข้าใจ
สวัสดีครับ กระบี่ไร้นาม กลับมาอีกครั้ง กับบทความที่ตอบคำถามคาใจนักเขียนหลายคน นั่นคือ “บทความ SEO เขียนยังไงให้ปัง?” เราจะมาตอบกันเป็นข้อๆให้หายคาใจและสิ้นสงสัยกันไป
หลายคนคงเคยสงสัยว่า บทความ SEO นั้นแตกต่างจากบทความทั่วไปอย่างไร เขียนแล้วติดอันดับ Google จริงหรือไม่? วันนี้ผมจะมาไขข้อสงสัย พร้อมแชร์ 5 คำถามยอดฮิต พร้อมคำตอบแบบละเอียดยิบ เริ่มเลย!
บทความ SEO ควรมีความยาวอย่างน้อยเท่าไร
ความยาวของบทความ SEO ที่เหมาะสมนั้น ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ประเภทของเนื้อหา หัวข้อ Keyword และความต้องการของผู้อ่าน
โดยทั่วไป บทความ SEO ควรมีความยาวอย่างน้อย 300 คำ แต่สำหรับบางหัวข้อ อาจจะต้องยาวกว่านั้น เช่น:
- บทความ How-to: 500 – 1,000 คำ
- บทความรีวิว: 800 – 1,500 คำ
- บทความวิเคราะห์: 1,000 – 2,000 คำ
- บทความแบบ Guide: 1,500 – 3,000 คำ
สิ่งสำคัญ คือ เนื้อหาควรมีความครบถ้วน ตอบโจทย์ผู้ค้นหา และเขียนให้น่าสนใจ
ความยาวของบทความ SEO กับเปอร์เซ็นการติดอันดับ
ก่อนอื่นต้องบอกว่าเปอร์เซ็นการติดอันดับไม่ได้เจาะจงว่าเรื่องไหน คำไหนเป็นเพียงข้อมูลกว้างๆให้พอเห็นภาพ เพราะการติดอันดับยังขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่นๆอีกมาก
ความยาวของบทความ SEO เป็นหนึ่งในปัจจัยที่มีผลต่ออันดับในหน้าผลการค้นหา (SERP) ของ Google โดยทั่วไป บทความ SEO ที่มีความยาว มากกว่า 1,000 คำ มีโอกาสติดอันดับ Google มากกว่า
อย่างไรก็ตาม ความยาวของบทความไม่ใช่ปัจจัยเดียวที่ส่งผลต่อ SEO ยังมีปัจจัยอื่นๆ อีกมากมาย เช่น:
- คุณภาพของเนื้อหา: เนื้อหาควรมีความน่าสนใจ Informatif
- Keyword: เลือก Keyword ที่เหมาะสม
- On-page SEO: ปรับแต่ง Title, Meta Description, URL, Heading tags, Alt Text
- Backlink: สร้าง Backlink คุณภาพ
จากการศึกษาวิจัย พบว่า ความยาวของบทความ SEO ที่มีความสัมพันธ์กับเปอร์เซ็นการติดอันดับ มีดังนี้:
- จำนวน 300-500 คำ เปอร์เซ็นการติดอันดับอยู่ที่ 20%
- จำนวน 500-1,000 คำ เปอร์เซ็นการติดอันดับอยู่ที่ 40%
- จำนวน 1,000-2,000 คำ เปอร์เซ็นการติดอันดับอยู่ที่ 60%
- จำนวน 2,000+ คำ เปอร์เซ็นการติดอันดับอยู่ที่ 80%
หมายเหตุ:
- ตัวเลขเหล่านี้เป็นเพียงค่าประมาณ ผลลัพธ์จริงอาจแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่นๆ ที่กล่าวมาข้างต้น
- การเขียนบทความจำนวน 2,000+ คำขึ้นไปมีโอกาสถึง 80% อย่างที่บอกไม่ได้จำเป็นเสมอไป
- สิ่งที่สำคัญมากคือ เนื้อหาที่ “ครบถ้วน” ในเรื่องที่เราเขียน
บทความที่เขียนดีจะต้องการันตีจำนวนคนอ่านได้?
ไม่จริงเลย บทความที่เขียนดีไม่ได้การันตีจำนวนผู้อ่านเสมอไปเพราะยังมีปัจจัยอื่น ๆ อีกมากมายที่ส่งผลต่อจำนวนผู้อ่าน เช่น หัวข้อของบทความ แพลตฟอร์มที่เผยแพร่ กลุ่มเป้าหมาย ช่วงเวลาที่เผยแพร่ SEO (Search Engine Optimization) การโปรโมทบทความ ฯลฯ
ตัวอย่าง
- หัวข้อ: บทความที่เขียนดี แต่หัวข้อไม่น่าสนใจ หรือ ไม่ตรงกับความต้องการของผู้อ่าน ย่อมมีจำนวนผู้อ่านน้อย
- แพลตฟอร์ม: บทความที่เขียนดี แต่เผยแพร่บนแพลตฟอร์มที่ไม่ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย ย่อมมีจำนวนผู้อ่านน้อย
- ช่วงเวลา: บทความที่เขียนดี แต่เผยแพร่ในช่วงเวลาที่ไม่เหมาะสม ย่อมมีจำนวนผู้อ่านน้อย
- SEO: บทความที่เขียนดี แต่ไม่มีการ optimize SEO ย่อมมีโอกาสปรากฏในหน้าแรกของ Search Engine น้อย ย่อมมีจำนวนผู้อ่านน้อย
- การโปรโมท: บทความที่เขียนดี แต่ไม่มีการโปรโมท ย่อมมีจำนวนผู้อ่านน้อย
- Backlinks: มีเว็บไซต์อื่น ๆ ลิงก์มายังบทความของเรา แชร์บทความบน Social Media
ดังนั้น บทความที่เขียนดี เป็นเพียงส่วนหนึ่งที่ช่วยดึงดูดผู้อ่าน แต่ไม่ใช่ปัจจัยเดียวที่การันตีจำนวนผู้อ่าน
กรณี การโฆษณา หรือ การเพิ่มยอดผู้อ่าน traffic โดยใช้วิธีที่ไม่ถูกต้อง เช่น การซื้อยอดวิว การใช้บอท การ clickbait ล้วนเป็นวิธีการที่ผิดจรรยาบรรณ อาจส่งผลเสียต่อเว็บไซต์ และ ไม่ยั่งยืน
สรุป การเขียนบทความที่ดี ควรคำนึงถึง หัวข้อ แพลตฟอร์ม กลุ่มเป้าหมาย SEO การโปรโมท และ จรรยาบรรณ
เขียนบทความเดียวพอก็ติดอันดับได้หลายคำ?
บางคนบอกว่าใน 1 บทความก็เขียนหลายๆเรื่อง หรือยัดเยียด keyword เข้าไปเลยจะได้ติดอันดับหลายๆคำ ต้องบอกว่าเป็นความเข้าใจผิดเป็นอย่างมากเพราะโอกาสในการติดอันดับบนหน้าแรกของ Google ด้วย Keyword 10 คำ นั้น น้อยกว่า การใช้ Keyword 1 คำ อย่างมาก
เหตุผล
- การแข่งขัน: Keyword 10 คำ ย่อมมีการแข่งขันสูงกว่า Keyword 1 คำ หมายความว่า มีเว็บไซต์ที่ใช้ Keyword นั้น ๆ มากกว่า
- ความเกี่ยวข้อง: การใช้ Keyword 10 คำ เนื้อหาอาจไม่เจาะจง และ ไม่ตรงกับความต้องการของผู้ค้นหามากเท่ากับการใช้ Keyword 1 คำ
- ความหนาแน่น: การใช้ Keyword 10 คำ อาจทำให้เนื้อหาดูยัดเยียด ไม่เป็นธรรมชาติ และ ส่งผลเสียต่อ SEO
ตัวอย่าง
- Keyword 10 คำ: “สูตรอาหารไทย ต้มยำกุ้ง แกงหน่อไม้ แกงเห็ด แกงปลา แกงเนื้อ แกงไก่ แกงหมู แกงผัก แกงเทโพ”
- Keyword 1 คำ: “ต้มยำกุ้ง”
สรุป
- การใช้ Keyword 10 คำ มีโอกาสน้อย ที่จะติดอันดับบนหน้าแรกของ Google
- การใช้ Keyword 1 คำ มีโอกาสมากกว่า ที่จะติดอันดับบนหน้าแรกของ Google
ไม่มี Keyword นั้นในหน้านั้นเลยแต่ก็สามารถติดอันดับได้?
คำตอบคือเป็นไปได้ที่บางหน้าจะติดอันดับบนหน้าแรกของ Google โดยไม่ต้องใส่ Keyword ในหน้านั้นเลย จากข้อมูลในส่วนนี้บอกเราว่าเราไม่จำเป็นต้องอัด keyword ลงไปในบทความเดียว
สาเหตุหลักๆ ได้แก่
1. Backlinks
- เว็บไซต์อื่น ๆ ลิงก์มายังหน้าเว็บนั้น ด้วย Keyword ที่เกี่ยวข้อง
- Backlinks ที่มีคุณภาพ จากเว็บไซต์ที่มี Domain Authority สูง
2. Authority
- เว็บไซต์นั้น มี Domain Authority สูง
- เว็บไซต์นั้น มีเนื้อหาที่มีคุณภาพ
- เว็บไซต์นั้น มีผู้เข้าชมจำนวนมาก
3. เนื้อหา
- เนื้อหาบนหน้านั้น เกี่ยวข้องกับ Keyword ที่ผู้ใช้ค้นหา
- เนื้อหานั้น มีคุณภาพ
- เนื้อหานั้น เป็นต้นฉบับ
- เนื้อหานั้น ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้
สรุปในหัวข้อนี้คือ
- การใช้ Keyword เป็นวิธีหนึ่ง ในการติดอันดับบนหน้าแรกของ Google
- ยังมีวิธีอื่น ๆ อีกมากมาย ที่สามารถทำให้ติดอันดับได้ โดยไม่ต้องใช้ Keyword
- สิ่งสำคัญคือ เว็บไซต์นั้น ต้องมีเนื้อหาที่มีคุณภาพ
- เว็บไซต์นั้น ต้องมี Domain Authority สูง
- เว็บไซต์นั้น ต้องมี Backlinks ที่มีคุณภาพ
การใช้ตัวหนา(bold) กับ keyword ในบทความ SEO นั้นจำเป็นไหม?
การใช้ตัวหนา <strong>Keyword</strong> กับ keyword ในบทความ SEO นั้น ไม่จำเป็น แต่ ส่งผลดี ต่อ SEO ในบางแง่มุม
ข้อดี
- เน้น keyword ให้ผู้ใช้อ่านเจอง่าย
- ช่วยให้ Google เข้าใจเนื้อหาบทความ
- เพิ่มโอกาสในการติดอันดับค้นหา
ข้อเสีย
- ใช้มากเกินไปอาจส่งผลเสียต่อ SEO
- ทำให้บทความอ่านยาก
- ดูไม่เป็นธรรมชาติ
ข้อแนะนำ
- ใช้ตัวหนากับ keyword เพียง 1-2 ครั้งต่อบทความ
- เน้น keyword ด้วยวิธีอื่น เช่น การใช้หัวข้อ การใช้คำอธิบาย meta
- เขียนบทความให้น่าอ่าน เน้นเนื้อหาที่มีคุณภาพ
สรุป
การใช้ตัวหนากับ keyword นั้น ไม่จำเป็น แต่ ส่งผลดี ต่อ SEO ในบางแง่มุม ควรใช้อย่างมีสติ ไม่ควรใช้มากเกินไป
เพิ่มเติม
- Google ไม่ได้ให้ความสำคัญกับการใช้ตัวหนา keyword มากนัก
- ปัจจัยอื่นๆ ที่ส่งผลต่อ SEO มากกว่า เช่น เนื้อหา คุณภาพ Backlink
- ควรเน้นเขียนบทความให้น่าอ่าน เน้นเนื้อหาที่มีคุณภาพ
จะเห็นได้ว่าการเขียนบทความ SEO เน้นไปที่ คุณภาพของเนื้อหา เป็นหลักส่วนเรื่องอื่นเป็นเรื่องประกอบเพื่อทำให้บทความนั้นมีคุณภาพมายิ่งขึ้น
ข้อมูลทางสถิติ:
- ความยาวบทความ: บทความ SEO ควรมีความยาว ไม่น้อยกว่า 300 คำ และ ไม่เกิน 2,000 คำ
- จำนวนคำหลัก: ควรใช้คำหลักไม่เกิน 2-3% ของจำนวนคำทั้งหมด
- ความหนาแน่นของคำหลัก: ควรกระจายคำหลักให้ทั่วทั้งบทความไม่ควรกระจุกตัวอยู่เฉพาะจุดใดจุดหนึ่ง
- การใช้หัวข้อย่อย: ควรใช้หัวข้อย่อยเพื่อแบ่งเนื้อหาให้อ่านง่ายและเข้าใจง่าย
- การใช้รูปภาพ: ควรใช้รูปภาพเพื่อประกอบเนื้อหาให้น่าสนใจ
- การใช้ Meta Description: ควรเขียน Meta Description ที่ดึงดูดและน่าสนใจ
ต้องการมืออาชีพช่วยเขียนบทความ? บริการเขียนบทความ คุณภาพสูง เน้นการปรับแต่งให้เหมาะสมกับรูปแบบธุรกิจและบริการของคุณ เพิ่มความสามารถในการแข่งขันด้วย บทความ SEO ที่ช่วยเพิ่มอันดับการค้นหาของเว็บไซต์ของคุณ ติดต่อตอนนี้เพื่อพัฒนากลยุทธ์การตลาดดิจิทัลของคุณ