1 min read
สุขภาพแข็งแรงต้องไม่เป็นหวัดซิ
สุขภาพแข็งแรงต้องไม่เป็นหวัดซิ เพราะหวัดเป็นโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัส ซึ่งสามารถแพร่กระจายได้ง่ายผ่านการสัมผัสน้ำมูก น้ำลาย หรือสารคัดหลั่งจากจมูกและลำคอของผู้ป่วย ผู้ที่ร่างกายแข็งแรงจะมีภูมิต้านทานที่ดี สามารถต่อสู้กับเชื้อไวรัสได้ ทำให้มีโอกาสเป็นหวัดน้อยลง อ่านถึงตรงนี้เกิดสงสัยขึ้นมาว่าตกลงแล้วเรื่องนี้เป็นความจริงไหม ต้องบอกว่าเรื่องนี้ไม่ได้เป็นความจริงถึงแม้ว่าร่างกายจะแข็งแรงแล้ว ก็มีโอกาสเป็นหวัดได้เช่นกัน เนื่องจากเชื้อไวรัสที่หวัดมีหลากหลายสายพันธุ์ และร่างกายของเราก็ไม่สามารถสร้างภูมิคุ้มกันต่อเชื้อไวรัสทุกสายพันธุ์ได้ นอกจากนี้ ปัจจัยอื่นๆ เช่น สภาพอากาศ มลภาวะทางอากาศ และระบบภูมิคุ้มกันที่อ่อนแอลงชั่วคราว ก็อาจทำให้ผู้ที่ร่างกายแข็งแรงมีโอกาสเป็นหวัดได้เช่นกัน
แข็งแรงต้องไม่เป็นหวัดซิ
ดังนั้น คำพูดที่ว่า “แข็งแรงต้องไม่เป็นหวัดซิ” ประโยคนี้จึงควรได้รับการตีความใหม่ว่า “สุขภาพแข็งแรงช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นหวัดได้” มากกว่า โดยผู้ที่ร่างกายแข็งแรงจะมีภูมิต้านทานที่ดี สามารถต่อสู้กับเชื้อไวรัสได้ ทำให้มีโอกาสเป็นหวัดน้อยลง แต่ก็ยังมีโอกาสเป็นหวัดได้หากได้รับเชื้อไวรัสเข้าสู่ร่างกาย หากใครเป็นหวัด ก็ไม่ต้องตกใจหรือกังวลไปว่าตัวเองไม่แข็งแรง เพราะหวัดเป็นโรคที่พบได้บ่อย และสามารถรักษาให้หายได้ แต่ถึงแม้ว่าสุขภาพจะแข็งแรงแล้ว ก็ควรดูแลสุขภาพตนเองให้แข็งแรงอยู่เสมอ
เชื้อไวรัสทุกสายพันธุ์มีจำนวนมากมายมหาศาล ยากที่จะประเมินได้อย่างชัดเจน ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ เช่น ประเภทของไวรัส สภาพแวดล้อม พฤติกรรมของมนุษย์ เป็นต้น
โดยทั่วไป เชื้อไวรัสจะแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลักๆ คือ ไวรัส RNA และไวรัส DNA
-
ไวรัส RNA
ไวรัส RNA มีสารพันธุกรรมเป็น RNA (ribonucleic acid) ไวรัส RNA มักพบได้ในสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียว เช่น แบคทีเรีย สาหร่าย และสัตว์เซลล์เดียว ไวรัส RNA สามารถกลายพันธุ์ได้อย่างรวดเร็ว ทำให้ยากต่อการควบคุม ตัวอย่างเช่น ไวรัสไข้หวัดใหญ่ ไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 (H1N1) และไวรัส SARS-CoV-2 ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคโควิด-19 ล้วนเป็นไวรัส RNA
-
ไวรัส DNA
ไวรัส DNA มีสารพันธุกรรมเป็น DNA (deoxyribonucleic acid) ไวรัส DNA มักพบได้ในสิ่งมีชีวิตหลายเซลล์ เช่น สัตว์ พืช และมนุษย์ ไวรัส DNA กลายพันธุ์ได้ช้ากว่าไวรัส RNA แต่ก็สามารถกลายพันธุ์ได้เช่นกัน ตัวอย่างเช่น ไวรัสตับอักเสบบี ไวรัสตับอักเสบซี และไวรัส HIV ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคเอดส์ ล้วนเป็นไวรัส DNA
ในปัจจุบัน ยังไม่มีการประเมินจำนวนเชื้อไวรัสสายพันธุ์ต่างๆ ได้อย่างแม่นยำ แต่จากข้อมูลที่มีอยู่ เชื่อได้ว่ามีเชื้อไวรัสสายพันธุ์ต่างๆ อีกมากมายที่ยังไม่ถูกค้นพบ
กินอาหารให้ครบ 5 หมู่ ออกกำลังกายเป็นประจำ นอนพักผ่อนเพียงพอต้องไม่เป็นหวัดนั้นไม่จริง?
พฤติกรรมเหล่านี้จึงมีส่วนช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง ลดความเสี่ยงในการเป็นหวัดได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าผู้ที่ปฏิบัติพฤติกรรมเหล่านี้จะไม่มีวันเป็นหวัดเลย
จากการศึกษาพบว่า ผู้ที่ปฏิบัติพฤติกรรมเหล่านี้เป็นประจำ สามารถลดความเสี่ยงในการเป็นหวัดได้ประมาณ 20% แต่ก็ยังมีโอกาสเป็นหวัดได้หากได้รับเชื้อไวรัสเข้าสู่ร่างกาย
พฤติกรรมที่ส่งผลดีต่อสุขภาพโดยรวม และมีส่วนช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ได้แก่
- การกินอาหารให้ครบ 5 หมู่
- การออกกำลังกายเป็นประจำ
- การนอนพักผ่อนเพียงพอ
- การหลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
- การล้างมือบ่อยๆ
- การหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับคนที่เป็นหวัด
หากมีอาการหวัด ควรพักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำให้มาก และรับประทานยาลดไข้หรือยาแก้ปวดตามอาการ
โดยสรุปแล้ว การกินอาหารให้ครบ 5 หมู่ ออกกำลังกายเป็นประจำ นอนพักผ่อนเพียงพอ มีส่วนช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง ลดความเสี่ยงในการเป็นหวัดได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าผู้ที่ปฏิบัติพฤติกรรมเหล่านี้จะไม่มีวันเป็นหวัดเลย
หากแข็งแรงจริงๆต้องหายภายใน 3 วัน จริงไหม
ถึงแม้ว่าการทำตามพฤติกรรมกินอาหารให้ครบ 5 หมู่ ออกกำลังกายเป็นประจำ นอนพักผ่อนเพียงพอจะช่วยบรรเทาอาการหวัดและทำให้อาการดีขึ้นได้เร็วขึ้น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะทำให้หายจากหวัดภายใน 3 วัน
หวัดเป็นโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัส ซึ่งร่างกายต้องใช้เวลาในการผลิตภูมิคุ้มกันเพื่อต่อสู้กับเชื้อไวรัส โดยทั่วไปแล้ว อาการหวัดจะค่อยๆ ดีขึ้นภายใน 7-10 วัน แต่บางคนอาจมีอาการนานถึง 2 สัปดาห์
พฤติกรรมที่กล่าวมาข้างต้นสามารถช่วยบรรเทาอาการหวัดและทำให้อาการดีขึ้นได้เร็วขึ้น แต่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ ผู้ที่เป็นหวัดควรพักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำให้มาก และรับประทานยาลดไข้หรือยาแก้ปวดตามอาการ หากอาการไม่ดีขึ้นหรือมีอาการรุนแรงขึ้น ควรไปพบแพทย์
ร่างกายต้องการเวลาในการสร้างภูมิคุ้มกันเพื่อต่อสู้กับเชื้อไวรัสถูกไหม?
ขบวนการนี้ทางการแพทย์เรียกว่า “การตอบสนองทางภูมิคุ้มกันแบบปรับตัว” (adaptive immune response) หรือการตอบสนองทางภูมิคุ้มกันแบบจำเพาะ (specific immune response)
การตอบสนองทางภูมิคุ้มกันแบบปรับตัวเป็นกระบวนการที่ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันต่อเชื้อโรคเฉพาะชนิดที่ร่างกายเคยสัมผัสมาก่อน กระบวนการนี้ใช้เวลานานกว่าการตอบสนองทางภูมิคุ้มกันแบบไม่จำเพาะ (innate immune response) ซึ่งเป็นกระบวนการที่ร่างกายตอบสนองต่อเชื้อโรคทั่วไป
การตอบสนองทางภูมิคุ้มกันแบบปรับตัวมี 2 ขั้นตอนหลัก ได้แก่
- การกระตุ้นภูมิคุ้มกัน (immune activation)
ขั้นตอนนี้เซลล์เม็ดเลือดขาวชนิด B จะตรวจพบเชื้อโรคและจดจำโปรตีนบนผิวของเชื้อโรค จากนั้นเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิด B จะแบ่งตัวอย่างรวดเร็วเพื่อสร้างเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิด B จำนวนมาก
- การผลิตแอนติบอดี (antibody production)
เซลล์เม็ดเลือดขาวชนิด B เหล่านี้จะสร้างแอนติบอดี ซึ่งเป็นโปรตีนที่ทำหน้าที่จับกับเชื้อโรค แอนติบอดีจะจับกับเชื้อโรคและทำให้เชื้อโรคไม่สามารถเข้าสู่เซลล์ของร่างกายได้ นอกจากนี้ เซลล์เม็ดเลือดขาวชนิด T ก็จะเข้ามามีส่วนร่วมในการตอบสนองทางภูมิคุ้มกันเช่นกัน เซลล์เม็ดเลือดขาวชนิด T จะทำลายเซลล์ของร่างกายที่ติดเชื้อเชื้อไวรัส กระบวนการผลิตภูมิคุ้มกันแบบปรับตัวนี้ใช้เวลาประมาณ 2-3 วัน ดังนั้น ผู้ที่เป็นหวัดจึงมักมีอาการในช่วง 2-3 วันแรก หลังจากนั้นอาการจะค่อยๆ ดีขึ้น แต่ถึงอย่างไรก็ไม่สามารถหายภายใน 3 วันแน่นอน เพียงแต่อาจจะมีอาการที่แสดงออกมามากน้อยต่างกันไป
เขียนโดยผู้เชี่ยวชาญสุขภาพ
นามปากกา : Easy Health:)
ต้องการมืออาชีพช่วยเขียนบทความ?
บริการเขียนบทความ
คุณภาพสูง เน้นการปรับแต่งให้เหมาะสมกับรูปแบบธุรกิจและบริการของคุณ!
เพิ่มความสามารถในการแข่งขันด้วย
บทความ SEO
ที่ช่วยเพิ่มอันดับการค้นหาของเว็บไซต์ของคุณ
ติดต่อเราตอนนี้เพื่อพัฒนากลยุทธ์การตลาดดิจิทัลของคุณ!