1 min read
ใครหลายวันขับถ่ายทียกมือขึ้น แข็ง แห้ง ก้อนเล็ก
ใครหลายวันขับถ่ายทียกมือขึ้น” เชื่อว่าประโยคนี้คงคุ้นหูใครหลายคน โดยเฉพาะคนที่มีปัญหาเรื่องท้องผูก อาการท้องผูกคืออาการที่ขับถ่ายอุจจาระได้ยาก น้อยกว่า 3 ครั้งต่อสัปดาห์หรือนานกว่านั้น หรืออุจจาระมีลักษณะแข็ง แห้ง ก้อนเล็ก ต้องเบ่งแรง บางครั้งอาจถ่ายไม่ออกเลยก็มี
อาการท้องผูกอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพร่างกายและจิตใจได้หลายประการ เช่น ปวดท้อง แน่นท้อง ท้องอืด อุจจาระแข็ง ก้อนเล็ก บางครั้งอาจถ่ายไม่ออก เกิดริดสีดวงทวาร เกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่ เป็นต้น
บทความนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจอาการท้องผูกมากขึ้น สาเหตุของอาการท้องผูก ผลกระทบของอาการท้องผูกต่อสุขภาพ และวิธีแก้อาการท้องผูกอย่างถูกวิธี
อาการท้องผูกสามารถเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ดังนี้
- การรับประทานอาหารที่มีกากใยต่ำ กากใยอาหารจะช่วยดูดซับน้ำ ทำให้อุจจาระนิ่มและขับถ่ายได้ง่าย หากรับประทานอาหารที่มีกากใยต่ำ อุจจาระก็จะแข็งและขับถ่ายยาก
- การดื่มน้ำน้อย น้ำจะช่วยทำให้อุจจาระนิ่มและขับถ่ายได้ง่าย หากดื่มน้ำน้อย อุจจาระก็จะแข็งและขับถ่ายยาก
- การขาดการออกกำลังกาย การออกกำลังกายช่วยกระตุ้นการทำงานของลำไส้ ทำให้ลำไส้บีบตัวได้ดี หากขาดการออกกำลังกาย ลำไส้ก็จะทำงานได้ไม่ดี ทำให้ขับถ่ายยาก
- การใช้ยาบางชนิด ยาบางชนิด เช่น ยาแก้ปวด ยาลดกรด ยารักษาโรคซึมเศร้า อาจทำให้เกิดอาการท้องผูกได้
- โรคบางชนิด โรคบางชนิด เช่น โรคเบาหวาน โรคไทรอยด์ต่ำ โรคลำไส้ใหญ่อักเสบเรื้อรัง อาจทำให้เกิดอาการท้องผูกได้
ผลกระทบของอาการท้องผูกต่อสุขภาพ
อาการท้องผูกอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพร่างกายและจิตใจได้หลายประการ ดังนี้
-
ปวดท้อง แน่นท้อง อาการปวดท้อง แน่นท้อง เป็นอาการที่พบได้บ่อยในผู้ที่มีอาการท้องผูก เนื่องจากอุจจาระเคลื่อนผ่านลำไส้ได้ช้า ทำให้ลำไส้บีบตัวแรงขึ้น เพื่อพยายามบีบอุจจาระให้ออกมา ส่งผลให้เกิดอาการปวดท้องและแน่นท้อง
-
ท้องอืด อาการท้องอืด เป็นอาการที่พบได้บ่อยเช่นกัน เนื่องจากอุจจาระค้างอยู่ในลำไส้ ทำให้ลำไส้ขยายใหญ่ขึ้น และดันกระเพาะอาหารให้ขยายตามไปด้วย ส่งผลให้เกิดอาการท้องอืด
-
อุจจาระแข็ง ก้อนเล็ก อุจจาระจะมีลักษณะแข็ง ก้อนเล็ก เนื่องจากอุจจาระถูกดูดน้ำออกไปมาก ทำให้อุจจาระแห้งและแข็ง
-
ต้องเบ่งแรง ผู้ที่มีอาการท้องผูกมักต้องเบ่งแรงเวลาถ่ายอุจจาระ เนื่องจากอุจจาระแข็งและเคลื่อนผ่านลำไส้ได้ยาก
-
เกิดริดสีดวงทวาร ริดสีดวงทวาร เป็นโรคที่เกิดจากหลอดเลือดดำบริเวณทวารหนักโป่งพอง อาการท้องผูกเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดริดสีดวงทวาร เนื่องจากผู้ที่มีอาการท้องผูกมักต้องเบ่งแรงเวลาถ่ายอุจจาระ ส่งผลให้หลอดเลือดดำบริเวณทวารหนักโป่งพอง
-
เกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งลำไส้ใหญ่ เป็นโรคที่พบได้บ่อยในผู้ที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป อาการท้องผูกเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่ เนื่องจากอุจจาระค้างอยู่ในลำไส้นานเกินไป ทำให้เซลล์ในลำไส้เกิดการกลายพันธุ์และกลายเป็นเซลล์มะเร็งได้
ริดสีดวงทวารเป็นภายในวันเดียวได้ไหม
ริดสีดวงทวารเป็นภาวะที่เนื้อเยื่อหลอดเลือดบริเวณทวารหนักบวมหรืออักเสบ เกิดจากหลายปัจจัย เช่น ท้องผูก ท้องเสีย ตั้งครรภ์ น้ำหนักตัวมาก การสูบบุหรี่ การใช้ยาบางชนิด เป็นต้น
ริดสีดวงทวารสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทหลักๆ คือ
- ริดสีดวงภายใน เกิดขึ้นจากเนื้อเยื่อหลอดเลือดที่อยู่ภายในทวารหนัก มักไม่มีอาการปวดและเลือดออกให้เห็นชัดเจน
- ริดสีดวงภายนอก เกิดขึ้นจากเนื้อเยื่อหลอดเลือดที่อยู่ภายนอกทวารหนัก มักมีอาการปวดและเลือดออกให้เห็นชัดเจน
ริดสีดวงสามารถเกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็วภายในวันเดียว โดยมักเกิดจากการกลั้นอุจจาระ หรือถ่ายอุจจาระอย่างหนัก ซึ่งทำให้เกิดแรงดันในช่องท้องและลำไส้ใหญ่ ส่งผลให้เนื้อเยื่อหลอดเลือดบริเวณทวารหนักบวมหรืออักเสบ
ดังนั้น ตอบได้ว่า ริดสีดวงทวารสามารถเป็นภายในวันเดียวได้ หากมีปัจจัยกระตุ้น เช่น การกลั้นอุจจาระ หรือถ่ายอุจจาระอย่างหนัก
ดื่มน้ำมาก กินอาหารที่มีกากใยสูง ออกกำลังกาย แต่ท้องก็ยังผูก
หากดื่มน้ำมาก กินอาหารที่มีกากใยสูง และออกกำลังกายแล้ว แต่ท้องก็ยังผูก อาจเกิดจากสาเหตุอื่นๆ ดังนี้
- การใช้ยาบางชนิด ยาบางชนิด เช่น ยาแก้ปวด ยาลดกรด ยารักษาโรคซึมเศร้า อาจทำให้เกิดอาการท้องผูกได้
- โรคบางชนิด โรคบางชนิด เช่น โรคเบาหวาน โรคไทรอยด์ต่ำ โรคลำไส้ใหญ่อักเสบเรื้อรัง อาจทำให้เกิดอาการท้องผูกได้
- ปัญหาทางอารมณ์ ปัญหาทางอารมณ์ เช่น ความเครียด ความวิตกกังวล อาจส่งผลให้เกิดอาการท้องผูกได้
หากสงสัยว่าสาเหตุของอาการท้องผูกเกิดจากปัจจัยใด ควรปรึกษาแพทย์เพื่อหาสาเหตุและรับการรักษาที่เหมาะสม
นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่อาจส่งผลต่ออาการท้องผูกได้ เช่น
- การดื่มแอลกอฮอล์หรือคาเฟอีนมากเกินไป
- การนั่งเป็นเวลานาน
- การสูบบุหรี่
- ภาวะขาดน้ำ
หากปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตและรับประทานอาหารได้ตามคำแนะนำแล้ว แต่อาการท้องผูกยังไม่ดีขึ้น ควรหลีกเลี่ยงปัจจัยเหล่านี้ด้วย
ต่อไปนี้เป็นคำแนะนำเพิ่มเติมสำหรับผู้ที่มีอาการท้องผูก
- รับประทานอาหารที่มีกากใยสูงอย่างน้อยวันละ 25-35 กรัม โดยควรเลือกรับประทานอาหารที่มีกากใยสูง เช่น ผัก ผลไม้ ถั่ว เมล็ดธัญพืช เป็นต้น
- ดื่มน้ำให้เพียงพอ อย่างน้อยวันละ 8-10 แก้ว
- ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อยสัปดาห์ละ 3-5 ครั้ง ครั้งละ 30 นาที
- หลีกเลี่ยงการกลั้นอุจจาระ หากรู้สึกปวดท้องหรืออยากถ่ายอุจจาระควรรีบไปห้องน้ำทันที
- หาเวลาขับถ่ายเป็นประจำทุกวัน ไม่ควรกลั้นอุจจาระ
ท้องผูกแต่ไม่เบ่งแรงเวลาถ่ายอุจจาระ มีโอกาสเกิดริดสีดวงทวาร?
ท้องผูกแต่ไม่เบ่งแรงเวลาถ่ายอุจจาระ มีโอกาสเกิดริดสีดวงทวารได้น้อยกว่าผู้ที่ท้องผูกและเบ่งแรงเวลาถ่ายอุจจาระ เนื่องจากแรงเบ่งที่มากเกินไปเป็นปัจจัยเสี่ยงหลักที่ทำให้เกิดริดสีดวงทวาร แรงเบ่งจะส่งผลให้หลอดเลือดดำบริเวณทวารหนักโป่งพอง และอาจเกิดเป็นริดสีดวงทวารได้
อย่างไรก็ตาม อาการท้องผูกเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดริดสีดวงทวารได้เช่นกัน เนื่องจากอุจจาระแข็งและเคลื่อนผ่านลำไส้ได้ยาก อาจทำให้หลอดเลือดดำบริเวณทวารหนักต้องทำงานหนักขึ้น เพื่อพยายามบีบอุจจาระให้ออกมา ส่งผลให้หลอดเลือดดำบริเวณทวารหนักโป่งพอง และอาจเกิดเป็นริดสีดวงทวารได้
การศึกษาหนึ่งพบว่า ผู้ที่ท้องผูกและเบ่งแรงเวลาถ่ายอุจจาระ มีความเสี่ยงในการเกิดริดสีดวงทวารมากกว่าผู้ที่ไม่ท้องผูกถึง 4 เท่า ดังนั้น ผู้ที่ท้องผูกแต่ไม่เบ่งแรงเวลาถ่ายอุจจาระ อาจมีความเสี่ยงในการเกิดริดสีดวงทวารน้อยกว่าผู้ที่ท้องผูกและเบ่งแรงเวลาถ่ายอุจจาระถึง 4 เท่าเช่นกัน
ปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ ที่อาจทำให้เกิดริดสีดวงทวาร
- การตั้งครรภ์ การตั้งครรภ์ทำให้ระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรนสูงขึ้น ฮอร์โมนทั้งสองชนิดนี้มีส่วนทำให้หลอดเลือดขยายตัวและโป่งพอง ส่งผลให้หลอดเลือดดำบริเวณทวารหนักโป่งพอง และอาจเกิดเป็นริดสีดวงทวารได้
- การคลอดบุตร การคลอดบุตรทางช่องคลอดอาจทำให้หลอดเลือดดำบริเวณทวารหนักฉีกขาด ส่งผลให้หลอดเลือดดำโป่งพอง และอาจเกิดเป็นริดสีดวงทวารได้
- โรคอ้วน น้ำหนักที่เพิ่มขึ้นจะทำให้แรงกดต่อหลอดเลือดดำบริเวณทวารหนักสูงขึ้น ส่งผลให้หลอดเลือดดำโป่งพอง และอาจเกิดเป็นริดสีดวงทวารได้
- การนั่งนานๆ การนั่งนานๆ จะทำให้แรงกดต่อหลอดเลือดดำบริเวณทวารหนักสูงขึ้น ส่งผลให้หลอดเลือดดำโป่งพอง และอาจเกิดเป็นริดสีดวงทวารได้
- การยกของหนัก การยกของหนักจะทำให้แรงกดต่อหลอดเลือดดำบริเวณทวารหนักสูงขึ้น ส่งผลให้หลอดเลือดดำโป่งพอง และอาจเกิดเป็นริดสีดวงทวารได้
- การรับประทานอาหารที่มีกากใยต่ำ การรับประทานอาหารที่มีกากใยต่ำ ทำให้อุจจาระแข็งและเคลื่อนผ่านลำไส้ได้ยาก ส่งผลให้หลอดเลือดดำบริเวณทวารหนักต้องทำงานหนักขึ้น เพื่อพยายามบีบอุจจาระให้ออกมา ส่งผลให้หลอดเลือดดำบริเวณทวารหนักโป่งพอง และอาจเกิดเป็นริดสีดวงทวารได้
- การดื่มน้ำน้อย การดื่มน้ำน้อย ทำให้อุจจาระแข็งและเคลื่อนผ่านลำไส้ได้ยาก ส่งผลให้หลอดเลือดดำบริเวณทวารหนักต้องทำงานหนักขึ้น เพื่อพยายามบีบอุจจาระให้ออกมา ส่งผลให้หลอดเลือดดำบริเวณทวารหนักโป่งพอง และอาจเกิดเป็นริดสีดวงทวารได้
- การใช้ยาบางชนิด ยาบางชนิด เช่น ยาแก้ปวด ยาลดกรด ยารักษาโรคซึมเศร้า อาจทำให้เกิดอาการท้องผูกได้ ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดริดสีดวงทวารได้
- โรคบางชนิด โรคบางชนิด เช่น โรคเบาหวาน โรคไทรอยด์ต่ำ โรคลำไส้ใหญ่อักเสบเรื้อรัง อาจทำให้เกิดอาการท้องผูกได้ ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดริดสีดวงทวารได้
การแก้ไขอาการท้องผูกสามารถทำได้หลายวิธี ดังนี้
- รับประทานอาหารที่มีกากใยสูง กากใยจะช่วยเพิ่มมวลอุจจาระและทำให้อุจจาระอ่อนตัวลง ทำให้อุจจาระเคลื่อนผ่านลำไส้ได้ง่ายขึ้น แหล่งอาหารที่มีกากใยสูง เช่น ผัก ผลไม้ ถั่ว เมล็ดธัญพืช เป็นต้น
- ดื่มน้ำให้เพียงพอ การดื่มน้ำจะช่วยทำให้อุจจาระอ่อนตัวลง และทำให้ระบบขับถ่ายทำงานได้ดียิ่งขึ้น ปริมาณน้ำที่ควรดื่มในแต่ละวันขึ้นอยู่กับอายุ เพศ และกิจกรรมที่ทำในแต่ละวัน โดยผู้ใหญ่ทั่วไปควรดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว
- ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ การออกกำลังกายช่วยกระตุ้นการทำงานของลำไส้ ส่งผลให้การขับถ่ายเป็นปกติ
- หลีกเลี่ยงการกลั้นอุจจาระ การกลั้นอุจจาระจะทำให้อุจจาระแข็งและเคลื่อนผ่านลำไส้ได้ยากขึ้น
- ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการขับถ่าย ควรหาเวลาขับถ่ายเป็นประจำทุกวัน ไม่ควรกลั้นอุจจาระ หากรู้สึกปวดท้องควรรีบไปห้องน้ำทันที
- ใช้ยาระบาย ยาระบายเป็นวิธีแก้ปัญหาท้องผูกที่รวดเร็ว แต่ควรใช้ยาระบายอย่างระมัดระวัง โดยควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ยาระบาย
หากลองทำตามวิธีต่างๆ ข้างต้นแล้วอาการท้องผูกยังไม่ดีขึ้น ควรปรึกษาแพทย์เพื่อหาสาเหตุและรับการรักษาที่เหมาะสม
นอกจากนี้ ควรสังเกตอาการอื่นๆ ที่อาจบ่งชี้ถึงโรคอื่นๆ เช่น น้ำหนักลด อ่อนเพลีย มีไข้ ปวดท้อง ถ่ายอุจจาระมีเลือดปน เป็นต้น หากมีอาการเหล่านี้ ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยและรับการรักษาที่เหมาะสม
ไม่ขับถ่ายนานเท่าไรที่เรียกว่าท้องผูก
โดยทั่วไปแล้ว การขับถ่ายน้อยกว่า 3 ครั้งต่อสัปดาห์ ถือว่าท้องผูก อุจจาระอาจมีลักษณะแข็ง แห้ง และขับถ่ายได้ยาก อาจมีอาการปวดท้อง แน่นท้อง ถ่ายอุจจาระไม่สุด หรือต้องใช้แรงเบ่งมากในการขับถ่าย
เวลาในการขับถ่ายตอนไหนดีที่สุด
วลาในการขับถ่ายที่ดีที่สุดคือช่วงเช้าตรู่หลังตื่นนอน เนื่องจากร่างกายมีการหลั่งฮอร์โมนที่กระตุ้นการบีบตัวของลำไส้ใหญ่ในช่วงนี้ ทำให้รู้สึกปวดท้องและอยากถ่ายอุจจาระได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ การขับถ่ายในช่วงเช้ายังช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพตลอดทั้งวัน
นอกจากช่วงเช้าแล้ว ยังสามารถขับถ่ายได้ในช่วงอื่นๆ ของวันตามสะดวก แต่ควรหลีกเลี่ยงการกลั้นอุจจาระ หากรู้สึกปวดท้องหรืออยากถ่ายอุจจาระควรรีบไปห้องน้ำทันที การกลั้นอุจจาระจะทำให้อุจจาระแข็งและเคลื่อนผ่านลำไส้ได้ยากขึ้น ส่งผลให้เกิดอาการท้องผูกและอาจทำให้เกิดปัญหาสุขภาพอื่นๆ ตามมาได้
ท้องผูกกินยาถ่ายช่วยได้ไหม
ยาถ่ายเป็นยาที่ช่วยกระตุ้นการขับถ่าย สามารถใช้เป็นวิธีแก้ปัญหาท้องผูกได้ แต่ควรใช้ยาถ่ายอย่างระมัดระวัง โดยควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ยาถ่าย
ยาถ่ายมีหลายประเภท แบ่งตามกลไกการออกฤทธิ์ได้ดังนี้
- ยาระบายชนิดเพิ่มปริมาณอุจจาระ ยาชนิดนี้จะช่วยเพิ่มปริมาณอุจจาระ ทำให้อุจจาระเคลื่อนผ่านลำไส้ได้ง่ายขึ้น ตัวอย่างยาระบายชนิดเพิ่มปริมาณอุจจาระ เช่น ยาไฟเบอร์ (fiber) ยาเม็ดไซเลียมฮัสค์ (psyllium husk)
- ยาระบายชนิดเพิ่มน้ำในลำไส้ ยาชนิดนี้จะช่วยเพิ่มปริมาณน้ำในลำไส้ ทำให้อุจจาระอ่อนตัวลงและเคลื่อนผ่านลำไส้ได้ง่ายขึ้น ตัวอย่างยาระบายชนิดเพิ่มน้ำในลำไส้ เช่น ยาแมกนีเซียมไฮดรอกไซด์ (magnesium hydroxide) ยาโพแทสเซียมซัลเฟต (potassium sulfate)
- ยาระบายชนิดกระตุ้นการบีบตัวของลำไส้ ยาชนิดนี้จะช่วยกระตุ้นการบีบตัวของลำไส้ ทำให้อุจจาระเคลื่อนผ่านลำไส้ได้เร็วขึ้น ตัวอย่างยาระบายชนิดกระตุ้นการบีบตัวของลำไส้ เช่น ยาบิซาโคดิล (bisacodyl) ยาไซโคลโพรพานลา็กทาน (cyclopentyl sodium laurate)
ยาระบายชนิดเพิ่มปริมาณอุจจาระและยาระบายชนิดเพิ่มน้ำในลำไส้ มักใช้สำหรับอาการท้องผูกที่ไม่รุนแรง โดยควรใช้ยาตามคำแนะนำของแพทย์หรือฉลากยาอย่างเคร่งครัด
ยาระบายชนิดกระตุ้นการบีบตัวของลำไส้ ควรใช้เฉพาะเมื่ออาการท้องผูกรุนแรงหรือใช้ยาชนิดอื่นแล้วไม่ได้ผล โดยควรใช้ยาตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด เนื่องจากยาชนิดนี้อาจทำให้เกิดผลข้างเคียง เช่น ปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย
นอกจากนี้ การใช้ยาระบายติดต่อกันเป็นเวลานาน อาจทำให้ลำไส้ทำงานผิดปกติและเกิดอาการท้องผูกเรื้อรังได้ ดังนั้น ควรใช้ยาระบายอย่างระมัดระวังและปรึกษาแพทย์หากมีอาการผิดปกติ
คนไทยมีปัญหาเรื่องท้องผูกมากน้อยแค่ไหน
จากสถิติของกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข พบว่า ความชุกของอาการท้องผูกในคนไทยอยู่ที่ประมาณ 1 ใน 5 คน หมายความว่า คนไทยประมาณ 20% มีอาการท้องผูกอย่างน้อยเดือนละครั้ง ความชุกของอาการท้องผูกเพิ่มขึ้นตามอายุ โดยผู้สูงอายุมีอัตราการเกิดอาการท้องผูกสูงกว่ากลุ่มอายุอื่น
สาเหตุที่คนไทยมีปัญหาเรื่องท้องผูก อาจเกิดจากปัจจัยหลายประการ เช่น
- การเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต คนในปัจจุบันมีวิถีชีวิตที่เร่งรีบ ไม่ค่อยมีเวลาออกกำลังกาย นั่งทำงานหรืออยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน ซึ่งอาจส่งผลให้ระบบขับถ่ายทำงานผิดปกติได้
- การรับประทานอาหารที่มีกากใยน้อย กากใยจากอาหารจะช่วยเพิ่มมวลอุจจาระและทำให้อุจจาระอ่อนตัวลง ทำให้อุจจาระเคลื่อนผ่านลำไส้ได้ง่ายขึ้น แต่คนในปัจจุบันมักรับประทานอาหารที่มีกากใยน้อย เช่น อาหารแปรรูป อาหารสำเร็จรูป เป็นต้น
- การใช้ยาบางชนิด ยาบางชนิด เช่น ยาแก้ปวด ยาลดกรด ยารักษาโรคซึมเศร้า อาจทำให้เกิดอาการท้องผูกได้
หากปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตและรับประทานอาหารได้ตามคำแนะนำแล้ว แต่อาการท้องผูกยังไม่ดีขึ้น ควรปรึกษาแพทย์เพื่อหาสาเหตุและรับการรักษาที่เหมาะสม
ท้องผูกอาจเกิดจากกรรมพันธุ์ไหม
ท้องผูกอาจเกิดจากกรรมพันธุ์ได้บางส่วน แต่ไม่ได้หมายความว่าหากพ่อแม่ท้องผูกลูกก็จะต้องท้องผูกไปด้วยเสมอ ปัจจัยที่ส่งผลต่ออาการท้องผูกยังมีอีกหลายประการ เช่น พฤติกรรมการใช้ชีวิตและรับประทานอาหาร การใช้ยาบางชนิด โรคบางชนิด เป็นต้น
การศึกษาวิจัยเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างกรรมพันธุ์และอาการท้องผูก พบว่ามียีนบางยีนที่อาจเกี่ยวข้องกับอาการท้องผูก เช่น ยีนที่ควบคุมการดูดซึมน้ำในลำไส้ ยีนที่ควบคุมการบีบตัวของลำไส้ เป็นต้น แต่ยีนเหล่านี้ยังไม่สามารถอธิบายสาเหตุของอาการท้องผูกได้ทั้งหมด
หากในครอบครัวมีประวัติคนในครอบครัวท้องผูก แนะนำให้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตและรับประทานอาหารที่เหมาะสมเพื่อป้องกันอาการท้องผูก เช่น รับประทานอาหารที่มีกากใยสูง ดื่มน้ำให้เพียงพอ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ หลีกเลี่ยงการกลั้นอุจจาระ เป็นต้น หากมีอาการท้องผูก ควรปรึกษาแพทย์เพื่อหาสาเหตุและรับการรักษาที่เหมาะสม
งานวิจัยเรื่องท้องผูก
ท้องผูกเป็นอาการที่พบได้บ่อยในประชากรทั่วไป ประมาณ 1 ใน 5 คน มีอาการท้องผูกอย่างน้อยเดือนละครั้ง อาการท้องผูกอาจเกิดจากปัจจัยหลายประการ เช่น การรับประทานอาหารที่มีกากใยน้อย การดื่มน้ำน้อย การกลั้นอุจจาระ การใช้ยาบางชนิด โรคบางชนิด เป็นต้น
งานวิจัยเกี่ยวกับท้องผูก มีหลายประเด็นที่น่าสนใจ ดังนี้
-
ความสัมพันธ์ระหว่างพฤติกรรมการรับประทานอาหารและการขับถ่าย งานวิจัยพบว่า การรับประทานอาหารที่มีกากใยสูง จะช่วยเพิ่มมวลอุจจาระและทำให้อุจจาระอ่อนตัวลง ทำให้อุจจาระเคลื่อนผ่านลำไส้ได้ง่ายขึ้น ดังนั้น ผู้ที่มีอาการท้องผูก ควรรับประทานอาหารที่มีกากใยสูง เช่น ผัก ผลไม้ ถั่ว เมล็ดธัญพืช เป็นต้น
-
ความสัมพันธ์ระหว่างการออกกำลังกายและการขับถ่าย งานวิจัยพบว่า การออกกำลังกายช่วยกระตุ้นการทำงานของลำไส้ ส่งผลให้การขับถ่ายเป็นปกติ ดังนั้น ผู้ที่มีอาการท้องผูก ควรออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
-
ความสัมพันธ์ระหว่างการใช้ยาและการขับถ่าย งานวิจัยพบว่า ยาบางชนิด เช่น ยาแก้ปวด ยาลดกรด ยารักษาโรคซึมเศร้า อาจทำให้เกิดอาการท้องผูกได้ ดังนั้น ผู้ที่รับประทานยา ควรสังเกตอาการท้องผูกและปรึกษาแพทย์หากมีอาการ
-
ความสัมพันธ์ระหว่างโรคบางชนิดกับการขับถ่าย งานวิจัยพบว่า โรคบางชนิด เช่น โรคเบาหวาน โรคไทรอยด์ต่ำ โรคลำไส้ใหญ่อักเสบเรื้อรัง อาจทำให้เกิดอาการท้องผูกได้ ดังนั้น ผู้ที่มีอาการท้องผูกเรื้อรัง ควรปรึกษาแพทย์เพื่อหาสาเหตุและรับการรักษาที่เหมาะสม
นอกจากนี้ งานวิจัยยังพบว่า ภาวะขาดน้ำ อาจส่งผลต่ออาการท้องผูกได้ ดังนั้น ควรดื่มน้ำให้เพียงพอ อย่างน้อยวันละ 8-10 แก้ว
การรักษาอาการท้องผูก สามารถทำได้หลายวิธี ขึ้นอยู่กับสาเหตุของอาการท้องผูก ผู้ที่มีอาการท้องผูกควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตและรับประทานอาหารก่อน หากอาการท้องผูกยังไม่ดีขึ้น ควรปรึกษาแพทย์เพื่อหาสาเหตุและรับการรักษาที่เหมาะสม
เขียนโดยผู้เชี่ยวชาญงานเขียน
นามปากกา : นกเหยี่ยว
ต้องการมืออาชีพช่วยเขียนบทความ? บริการเขียนบทความ คุณภาพสูง เน้นการปรับแต่งให้เหมาะสมกับรูปแบบธุรกิจและบริการของคุณ เพิ่มความสามารถในการแข่งขันด้วย บทความ SEO ที่ช่วยเพิ่มอันดับการค้นหาของเว็บไซต์ของคุณ ติดต่อตอนนี้เพื่อพัฒนากลยุทธ์การตลาดดิจิทัลของคุณ