1 min read
ต้องอ่านก่อนเสริมอึ๋ม เสริมหน้าอก จะได้ไม่พลาดในการทำศัลยกรรม
การทำศัลยกรรมหน้าอกหรือที่เรารู้จักกันในชื่อ “การเสริมหน้าอก” เป็นการผ่าตัดเพื่อเพิ่มขนาดหรือปรับเปลี่ยนรูปร่างของหน้าอก สามารถทำได้ทั้งการใส่ถุงซิลิโคนหรือถุงน้ำเกลือเข้าไปที่ใต้หน้าอก
ประเภทของการทำศัลยกรรมหน้าอก
การทำศัลยกรรมหน้าอกสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทหลักๆ คือ
- การเสริมหน้าอกด้วยซิลิโคน เป็นวิธีที่นิยมมากที่สุดในปัจจุบัน ซิลิโคนที่ใช้เป็นส่วนเสริมหน้าอกนั้นผลิตจากวัสดุที่ปลอดภัยและผ่านมาตรฐานการผลิต มีรูปทรงและขนาดให้เลือกหลากหลาย ผลลัพธ์ที่ได้คือหน้าอกที่ใหญ่ขึ้น รูปร่างสวยงาม และมีความคงทน
- การเสริมหน้าอกด้วยถุงน้ำเกลือ เป็นวิธีที่ได้รับความนิยมรองลงมา ถุงน้ำเกลือที่ใช้เป็นส่วนเสริมหน้าอกนั้นผลิตจากวัสดุที่ปลอดภัยและผ่านมาตรฐานการผลิต สามารถปรับขนาดได้ตามความเหมาะสม ผลลัพธ์ที่ได้คือหน้าอกที่ใหญ่ขึ้น รูปร่างสวยงาม แต่อาจมีการเคลื่อนตัวของถุงน้ำเกลือได้บ้าง
ตำแหน่งของซิลิโคน
ตำแหน่งของซิลิโคนที่ใช้ในการทำศัลยกรรมหน้าอกสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ตำแหน่งหลัก ๆ คือ
- ใต้กล้ามเนื้อ เป็นตำแหน่งที่ได้รับความนิยมมากที่สุด เนื่องจากซิลิโคนจะถูกซ่อนอยู่ใต้กล้ามเนื้อ ทำให้หน้าอกดูเป็นธรรมชาติและมีความคงทนมากกว่า
- เหนือกล้ามเนื้อ เป็นตำแหน่งที่เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่ค่อยมีเนื้อหน้าอกมากนัก เนื่องจากซิลิโคนจะถูกวางอยู่เหนือกล้ามเนื้อโดยตรง ทำให้หน้าอกดูใหญ่ขึ้นได้อย่างรวดเร็ว แต่อาจรู้สึกเจ็บและยกแขนลำบากในช่วงแรก
เทคนิคในการทำศัลยกรรมหน้าอกแบบใหม่
เทคนิคในการทำศัลยกรรมหน้าอกแบบใหม่นั้น มุ่งเน้นไปที่การเพิ่มความเป็นธรรมชาติ ความปลอดภัย และลดการเจ็บปวดของผู้ป่วย โดยเทคนิคที่ได้รับความนิยมในปัจจุบัน ได้แก่
- เทคนิค Dual Plane เป็นเทคนิคที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในปัจจุบัน โดยเป็นการใส่ซิลิโคนเข้าไปทั้งบริเวณใต้กล้ามเนื้อหน้าอกและใต้เนื้อเยื่อเต้านมชั้นลึก ทำให้หน้าอกดูเป็นธรรมชาติมากขึ้น ช่วยลดความเสี่ยงในการเคลื่อนตัวของซิลิโคน และลดการสัมผัสกับกล้ามเนื้อหน้าอก ทำให้ลดอาการเจ็บปวดหลังการผ่าตัดได้
- เทคนิค Hybrid Breast Augmentation เป็นเทคนิคที่ผสมผสานระหว่างเทคนิค Dual Plane กับเทคนิคส่องกล้อง (Endoscopic Breast Augmentation) ทำให้แผลผ่าตัดเล็กลง เจ็บน้อยลง และฟื้นตัวได้เร็วขึ้น
- เทคนิคเสริมหน้าอกด้วยไขมันตัวเอง เป็นเทคนิคที่ได้รับความนิยมมากขึ้นเช่นกัน โดยเป็นการดูดไขมันจากส่วนต่างๆ ของร่างกาย เช่น ต้นขา หน้าท้อง หรือสะโพก แล้วฉีดไขมันเข้าไปในเต้านม ทำให้หน้าอกดูเป็นธรรมชาติมากขึ้น แต่มีข้อจำกัดคือ ปริมาณไขมันที่ฉีดเข้าไปอาจไม่คงทนเสมอไป
นอกจากเทคนิคการผ่าตัดแล้ว วัสดุที่ใช้ในการทำศัลยกรรมหน้าอกก็มีความสำคัญเช่นกัน โดยวัสดุที่นิยมใช้ในปัจจุบัน ได้แก่
- ซิลิโคนเจล เป็นวัสดุที่ได้รับความนิยมมากที่สุด เนื่องจากให้สัมผัสที่นุ่มนวลและดูเป็นธรรมชาติมากขึ้น
- ซิลิโคนแข็ง เป็นวัสดุที่ให้ความคงทนมากกว่าซิลิโคนเจล แต่อาจดูไม่เป็นธรรมชาติ
- ซิลิโคนรูปทรงหยดน้ำ เป็นวัสดุที่ได้รับความนิยมมากขึ้นเช่นกัน เนื่องจากให้รูปทรงที่สวยและดูเป็นธรรมชาติมากขึ้น
ผู้ป่วยที่ตัดสินใจทำศัลยกรรมหน้าอกควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับเทคนิคการผ่าตัดและวัสดุที่ใช้อย่างละเอียด เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ตรงกับความต้องการและความปลอดภัย
ซิลิโคนที่ใช้ทำศัลยกรรมหน้าอกแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลักๆ คือ
- ซิลิโคนเจล (silicone gel implant) เป็นซิลิโคนที่มีความยืดหยุ่นสูง นุ่มนวลเหมือนเนื้อเยื่อเต้านมธรรมชาติ และให้ความรู้สึกที่เป็นธรรมชาติมากกว่าซิลิโคนแข็ง
- ซิลิโคนแข็ง (silicone solid implant) เป็นซิลิโคนที่มีความแข็งสูง คงรูปได้ดี และให้ความรู้สึกที่แน่นกว่าซิลิโคนเจล
นอกจากนี้ ซิลิโคนที่ใช้ทำศัลยกรรมหน้าอกยังมีรูปทรงให้เลือกหลากหลาย เช่น ทรงกลม ทรงหยดน้ำ เป็นต้น
ข้อดีและข้อเสียของซิลิโคนเจล
- ข้อดี
- มีความยืดหยุ่นสูง นุ่มนวลเหมือนเนื้อเยื่อเต้านมธรรมชาติ
- ให้ความรู้สึกที่เป็นธรรมชาติมากกว่าซิลิโคนแข็ง
- มีโอกาสเคลื่อนตัวน้อย
- ข้อเสีย
- มีโอกาสรั่วซึมมากกว่าซิลิโคนแข็ง
- มีโอกาสเกิดการอักเสบน้อยกว่าซิลิโคนแข็ง
ข้อดีและข้อเสียของซิลิโคนแข็ง
- ข้อดี
- มีความคงรูปได้ดี
- มีโอกาสรั่วซึมน้อยกว่าซิลิโคนเจล
- มีโอกาสเกิดการอักเสบน้อยกว่าซิลิโคนเจล
- ข้อเสีย
- ไม่นุ่มนวลเหมือนเนื้อเยื่อเต้านมธรรมชาติ
- มีโอกาสเคลื่อนตัวมากกว่าซิลิโคนเจล
การเลือกซิลิโคนที่เหมาะสม
การเลือกซิลิโคนที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ เช่น
- ความต้องการและเป้าหมายในการทำศัลยกรรม ผู้ป่วยที่ต้องการหน้าอกที่นุ่มนวลเป็นธรรมชาติ ควรเลือกซิลิโคนเจล ผู้ป่วยที่ต้องการหน้าอกที่คงรูปได้ดี ควรเลือกซิลิโคนแข็ง
- สรีระและรูปร่าง ผู้ป่วยที่มีหน้าอกเล็กหรือหย่อนคล้อย ควรเลือกซิลิโคนที่มีขนาดใหญ่หรือทรงหยดน้ำ เพื่อให้หน้าอกดูอวบอิ่มและกระชับ
- สุขภาพและประวัติทางการแพทย์ ผู้ป่วยที่มีประวัติแพ้ซิลิโคน ควรหลีกเลี่ยงการใช้ซิลิโคน
ผู้ป่วยควรปรึกษาศัลยแพทย์เพื่อหารือเกี่ยวกับความต้องการและเป้าหมายในการทำศัลยกรรม เพื่อให้ศัลยแพทย์ช่วยเลือกซิลิโคนที่เหมาะสม
การเตรียมตัวก่อนทำศัลยกรรมหน้าอก
ก่อนทำศัลยกรรมหน้าอกควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อประเมินความเหมาะสมในการทำศัลยกรรมและวางแผนการผ่าตัด โดยแพทย์อาจแนะนำให้ตรวจร่างกายและตรวจเลือดเพื่อดูความพร้อมของร่างกายก่อนการผ่าตัด
ขั้นตอนการทำศัลยกรรมหน้าอก
การทำศัลยกรรมหน้าอกโดยทั่วไปใช้เวลาประมาณ 1-2 ชั่วโมง แพทย์จะทำการผ่าตัดโดยดมยาสลบ โดยใช้มีดกรีดแผลที่ใต้ราวนมหรือบริเวณอื่นที่เลือกไว้ จากนั้นจึงใส่ถุงซิลิโคนหรือถุงน้ำเกลือเข้าไปที่ใต้หน้าอกและเย็บปิดแผล
การดูแลตัวเองหลังทำศัลยกรรมหน้าอก
หลังทำศัลยกรรมหน้าอกควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด โดยอาจรวมถึงการดูแลแผลผ่าตัด รับประทานยาตามแพทย์สั่ง และหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่อาจส่งผลกระทบต่อบาดแผล
ข้อควรระวังในการทำศัลยกรรมหน้าอก
การทำศัลยกรรมหน้าอกเป็นการผ่าตัดที่มีความเสี่ยงและผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้ เช่น การติดเชื้อ เลือดออก อาการบวมช้ำ ความรู้สึกผิดปกติที่บริเวณหน้าอก เป็นต้น ดังนั้นจึงควรเลือกแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจากสถานพยาบาลที่ได้มาตรฐาน และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด
ผลลัพธ์ที่ได้หลังทำศัลยกรรมหน้าอก
ผลลัพธ์ที่ได้หลังทำศัลยกรรมหน้าอกจะขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ เช่น ตำแหน่งของซิลิโคน ขนาดและรูปร่างของซิลิโคน เทคนิคการผ่าตัด เป็นต้น โดยโดยทั่วไปแล้ว ผลลัพธ์ที่ได้จะคงอยู่ได้นานหลายปี แต่อาจต้องมีการแก้ไขหรือเปลี่ยนซิลิโคนใหม่ในอนาคต
การทำศัลยกรรมหน้าอกเป็นทางเลือกในการเสริมความงามที่ได้รับความนิยมในปัจจุบัน แต่ควรทำด้วยความระมัดระวังและรอบคอบ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ตรงตามความต้องการและปลอดภัย
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการศัลยกรรมหน้าอก มีดังนี้
เสริมหน้าอกสามารถให้นมบุตรได้หรือไม่
ตอบว่า “ได้” ผู้หญิงที่ทำศัลยกรรมหน้าอกสามารถให้นมบุตรได้ แต่อาจต้องใช้เวลาในการฟื้นตัวนานกว่าผู้หญิงที่ไม่ได้ทำศัลยกรรมหน้าอก ซิลิโคนเสริมหน้าอกจะไม่ส่งผลกระทบต่อการผลิตน้ำนมหรือพัฒนาการของทารกในครรภ์
เสริมหน้าอกเจ็บไหม
ตอบว่า “เจ็บ” การเสริมหน้าอกเป็นการผ่าตัดที่มีแผลขนาดเล็ก 2 แผลบริเวณใต้รักแร้หรือใต้ฐานนม หลังการผ่าตัดคุณอาจมีอาการปวดบวมเล็กน้อย แพทย์จะจ่ายยาแก้ปวดให้ คุณควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัดเพื่อลดอาการปวดและบวม
เสริมหน้าอกใช้เวลานานไหม
ตอบว่า “ใช้เวลาประมาณ 1-2 ชั่วโมง” ขึ้นอยู่กับเทคนิคการผ่าตัดและขนาดของซิลิโคนเสริมหน้าอก
ค่าใช้จ่ายในการเสริมหน้าอกเท่าไหร่
ค่าใช้จ่ายในการเสริมหน้าอกขึ้นอยู่กับขนาดของซิลิโคนเสริมหน้าอก เทคนิคการผ่าตัด และชื่อเสียงของแพทย์และคลินิก โดยทั่วไปค่าใช้จ่ายในการเสริมหน้าอกจะอยู่ที่ประมาณหลักหมื่นไปจนถึงหลักแสนบาท
ผลลัพธ์ของการเสริมหน้าอกจะคงอยู่นานแค่ไหน
ผลลัพธ์ของการเสริมหน้าอกจะคงอยู่นานประมาณ 10-15 ปี ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ เช่น การดูแลตัวเองหลังการผ่าตัด น้ำหนักตัว และอายุ
มีความเสี่ยงอะไรบ้างจากการเสริมหน้าอก
ความเสี่ยงจากการเสริมหน้าอกมีน้อย ความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น เช่น การติดเชื้อ ภาวะแทรกซ้อนจากยาชา ซิลิโคนทะลุ ซิลิโคนแตก เป็นต้น
หากตัดสินใจทำศัลยกรรมหน้าอก ควรศึกษาข้อมูลอย่างละเอียดและเลือกแพทย์และคลินิกที่มีประสบการณ์ เพื่อลดความเสี่ยงจากการผ่าตัดได้
ถุงซิลิโคนแตกหลังการทำศัลยกรรมหน้าอกทำไงดี
ถุงซิลิโคนแตกหลังการทำศัลยกรรมหน้าอกเป็นภาวะแทรกซ้อนที่พบได้ประมาณ 1-2% ของการทำศัลยกรรมหน้าอก โดยซิลิโคนอาจแตกได้หลายสาเหตุ เช่น
- การกระทบกระแทกอย่างแรง เช่น การถูกกระแทกจากอุบัติเหตุ การตกจากที่สูง การออกกำลังกายอย่างหนัก เป็นต้น
- การเสื่อมสภาพของถุงซิลิโคนตามกาลเวลา
- ปัญหาเกี่ยวกับเทคนิคการผ่าตัด
อาการที่อาจพบได้หากถุงซิลิโคนแตก ได้แก่
- อาการปวดบริเวณหน้าอก
- หน้าอกผิดรูป
- พบก้อนแข็งบริเวณหน้าอก
- มีของเหลวไหลออกมาจากแผลผ่าตัด
- มีผื่นหรือรอยแดงบริเวณหน้าอก
หากถุงซิลิโคนแตก ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยและรักษาโดยเร็วที่สุด การรักษาอาจทำได้โดยการกรีดแผลผ่าตัดเพื่อนำซิลิโคนออกและใส่ซิลิโคนใหม่เข้าไปแทนที่
ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นจากถุงซิลิโคนแตก ได้แก่
- การติดเชื้อ
- อาการแพ้ซิลิโคน
- มะเร็งเต้านม (แต่ยังไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่ยืนยันชัดเจน)
เพื่อลดความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนจากถุงซิลิโคนแตก ควรเลือกศัลยแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับการผ่าตัดอย่างละเอียด และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด ดังนี้
- หลีกเลี่ยงการโดนกระทบกระแทกอย่างแรงบริเวณหน้าอกเป็นเวลาอย่างน้อย 1 เดือน
- สวมชุดชั้นในที่เหมาะสมเพื่อป้องกันการกระแทก
- ออกกำลังกายอย่างระมัดระวัง หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายที่ต้องใช้แรงกระแทกที่บริเวณหน้าอก
- รับประทานอาหารที่มีประโยชน์เพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกาย
หากมีอาการปวดหรือผิดปกติบริเวณหน้าอกหลังทำศัลยกรรมหน้าอก ควรรีบไปพบแพทย์ทันที
อายุน้อยสุดที่สามารถทำศัลยกรรมหน้าอกได้
อายุน้อยสุดที่สามารถทำศัลยกรรมหน้าอกได้ในประเทศไทยคือ 18 ปีบริบูรณ์ ตามพระราชบัญญัติสถานพยาบาล พ.ศ. 2541 โดยศัลยแพทย์จะต้องพิจารณาความพร้อมของร่างกายและจิตใจของผู้ป่วยก่อนทำการผ่าตัด
สำหรับอายุมากสุดที่สามารถทำได้นั้น ขึ้นอยู่กับสุขภาพและสภาพร่างกายของผู้ป่วย โดยศัลยแพทย์จะเป็นผู้พิจารณาตามความเหมาะสม
โดยทั่วไปแล้ว ศัลยแพทย์มักแนะนำให้ผู้ป่วยรอให้ร่างกายเจริญเติบโตเต็มที่ก่อนทำศัลยกรรมหน้าอก เนื่องจากร่างกายของวัยรุ่นยังเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา อาจทำให้ผลลัพธ์ของการผ่าตัดไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง นอกจากนี้ วัยรุ่นยังอาจยังไม่พร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายและจิตใจที่อาจเกิดขึ้นหลังการผ่าตัด
อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี แต่มีความจำเป็นต้องทำศัลยกรรมหน้าอก เช่น ผู้ป่วยที่มีภาวะหน้าอกผิดปกติตั้งแต่กำเนิด ผู้ป่วยที่ได้รับอุบัติเหตุหรือการผ่าตัดจนทำให้หน้าอกเสียรูปทรง ผู้ป่วยที่มีภาวะเต้านมหย่อนคล้อย เป็นต้น ศัลยแพทย์อาจพิจารณาผ่าตัดให้ตามความเหมาะสม โดยจะต้องได้รับความเห็นชอบจากผู้ปกครองหรือผู้แทนโดยชอบธรรมของผู้ป่วยก่อน
นอกจากอายุแล้ว ผู้ป่วยที่ตัดสินใจทำศัลยกรรมหน้าอกควรพิจารณาปัจจัยอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องด้วย เช่น สภาพร่างกาย สุขภาพจิต ความต้องการ และเป้าหมายในการทำศัลยกรรม เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ตรงกับความต้องการและปลอดภัย
เอาซิลิโคนหน้าอกออกอาจทำให้หน้าอกเหี่ยวลงไหม
โดยทั่วไปแล้ว หน้าอกที่ใส่ซิลิโคนมานานกว่า 10 ปี จะมีแนวโน้มที่จะเหี่ยวลงมากกว่าหน้าอกที่ใส่ซิลิโคนน้อยกว่า 10 ปี
หากต้องการลดความเสี่ยงที่หน้าอกจะเหี่ยวลงหลังถอดซิลิโคนหน้าอก ควรเลือกขนาดของซิลิโคนที่เหมาะสมกับสรีระ และควรใส่ซิลิโคนไม่เกิน 10 ปี
นอกจากนี้ ยังมีวิธีอื่นๆ ที่สามารถช่วยลดความเสี่ยงที่หน้าอกจะเหี่ยวลงหลังถอดซิลิโคนหน้าอก เช่น
- ออกกำลังกายเป็นประจำ เพื่อกระชับกล้ามเนื้อหน้าอก
- ทาครีมบำรุงผิวบริเวณหน้าอกเป็นประจำ
- หลีกเลี่ยงการลดน้ำหนักอย่างรวดเร็ว
หากหลังจากถอดซิลิโคนหน้าอกแล้ว พบว่าหน้าอกเหี่ยวลง ผู้ป่วยอาจพิจารณาทำศัลยกรรมยกกระชับหน้าอก เพื่อช่วยให้หน้าอกกลับมากระชับขึ้น
การผ่าตัดยกกระชับหน้าอก (mastopexy) เป็นการผ่าตัดที่ศัลยแพทย์จะทำการกรีดแผลบริเวณหน้าอก จากนั้นจึงดึงเนื้อเยื่อเต้านมให้ตึงขึ้น และจัดวางตำแหน่งหัวนมและปานนมใหม่
การผ่าตัดยกกระชับหน้าอกโดยทั่วไปใช้เวลาประมาณ 1-2 ชั่วโมง ผู้ป่วยจะต้องพักฟื้นประมาณ 1-2 สัปดาห์ ในระหว่างนี้อาจมีอาการเจ็บปวด บวม และช้ำบริเวณแผลผ่าตัด ผู้ป่วยควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด เพื่อให้แผลผ่าตัดหายดีและป้องกันการเกิดภาวะแทรกซ้อน
ทำศัลยกรรมหน้าอกที่ประเทศเกาหลีใต้หรือประเทศไทยดีกว่ากัน
ประเทศไทยและเกาหลีใต้เป็นประเทศที่มีอุตสาหกรรมศัลยกรรมความงามที่พัฒนาอย่างมาก ทั้งสองประเทศมีศัลยแพทย์ความงามที่มีประสบการณ์และได้รับการรับรองจากสถาบันต่างๆ ทั่วโลก แต่ก็มีความแตกต่างบางประการในด้านคุณภาพ ความปลอดภัย มาตรฐานทางการแพทย์ และราคา
คุณภาพของโรงพยาบาลและศัลยแพทย์
ประเทศไทยมีโรงพยาบาลและคลินิกศัลยกรรมความงามที่มีคุณภาพมาตรฐานสากล มีศัลยแพทย์ที่มีประสบการณ์และได้รับการรับรองจากสมาคมศัลยแพทย์แห่งประเทศไทยและสมาคมศัลยแพทย์ตกแต่งแห่งประเทศไทย โรงพยาบาลและคลินิกศัลยกรรมความงามในประเทศไทยส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล แต่ก็มีกระจายอยู่ทั่วประเทศ
เกาหลีใต้ก็มีโรงพยาบาลและคลินิกศัลยกรรมความงามที่มีคุณภาพมาตรฐานสากลเช่นกัน มีศัลยแพทย์ที่มีประสบการณ์และได้รับการรับรองจากสถาบันต่างๆ ทั่วโลก โรงพยาบาลและคลินิกศัลยกรรมความงามเกาหลีใต้ส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในกรุงโซล และเมืองใหญ่อื่นๆ เช่น ปูซาน แทกู และอินชอน
ความปลอดภัยและมาตรฐานทางการแพทย์
ประเทศไทยมีระบบสาธารณสุขที่เข้มแข็ง โรงพยาบาลและคลินิกศัลยกรรมความงามในประเทศไทยต้องปฏิบัติตามมาตรฐานทางการแพทย์อย่างเคร่งครัด กระทรวงสาธารณสุขและกรมควบคุมโรคมีหน่วยงานที่ทำหน้าที่กำกับดูแลและตรวจสอบคุณภาพของโรงพยาบาลและคลินิกศัลยกรรมความงาม
เกาหลีใต้ก็มีระบบสาธารณสุขที่เข้มแข็งเช่นกัน โรงพยาบาลและคลินิกศัลยกรรมความงามเกาหลีใต้ต้องปฏิบัติตามมาตรฐานทางการแพทย์อย่างเคร่งครัด กระทรวงการสาธารณสุขเกาหลีใต้มีหน่วยงานที่ทำหน้าที่กำกับดูแลและตรวจสอบคุณภาพของโรงพยาบาลและคลินิกศัลยกรรมความงาม
หากพิจารณาจากปัจจัยต่างๆ ข้างต้น การทำศัลยกรรมความงามในประเทศไทยโดยทั่วไปจะดีกว่าที่เกาหลีใต้ ดังนี้
- คุณภาพของโรงพยาบาลและศัลยแพทย์ ประเทศไทยมีโรงพยาบาลและคลินิกศัลยกรรมความงามที่มีคุณภาพมาตรฐานสากล มีศัลยแพทย์ที่มีประสบการณ์และได้รับการรับรองจากสมาคมศัลยแพทย์แห่งประเทศไทยและสมาคมศัลยแพทย์ตกแต่งแห่งประเทศไทย
- ความปลอดภัยและมาตรฐานทางการแพทย์ ประเทศไทยมีระบบสาธารณสุขที่เข้มแข็ง โรงพยาบาลและคลินิกศัลยกรรมความงามในประเทศไทยต้องปฏิบัติตามมาตรฐานทางการแพทย์อย่างเคร่งครัด
- ราคา การทำศัลยกรรมความงามในประเทศไทยโดยทั่วไปมีราคาไม่แพงเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ในเอเชีย หากรวมถึงค่าเดินทาง ค่าที่อยู่และอื่นๆการทำในประเทศไทยจะมีค่าใช้จ่ายต่ำกว่า
อย่างไรก็ตาม การทำศัลยกรรมความงามที่เกาหลีใต้ก็มีข้อดีบางประการเช่นกัน ได้แก่
- ความนิยม เกาหลีใต้เป็นประเทศที่มีชื่อเสียงด้านศัลยกรรมความงาม ทำให้มีศัลยแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญและประสบการณ์สูง
- รูปทรงหน้าอก ศัลยแพทย์เกาหลีใต้มักนิยมทำหน้าอกทรงกลม ซึ่งได้รับความนิยมอย่างมากในหมู่ชาวเอเชีย
ดังนั้น การตัดสินใจเลือกสถานที่ทำศัลยกรรมความงามควรพิจารณาจากปัจจัยต่างๆ ข้างต้นอย่างรอบคอบ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ปลอดภัยและพึงพอใจ
ข้อคิดเกี่ยวกับการทำศัลยกรรมหน้าอก
-
ทำความเข้าใจเหตุผลที่แท้จริง ก่อนตัดสินใจทำศัลยกรรมหน้าอก สิ่งสำคัญคือต้องเข้าใจเหตุผลที่แท้จริงว่าทำไมคุณถึงต้องการทำ การทำศัลยกรรมหน้าอกเพื่อเพิ่มความมั่นใจในรูปร่างของตัวเองนั้นเป็นเรื่องปกติ แต่หากคุณทำศัลยกรรมหน้าอกเพื่อตอบสนองความต้องการของคนอื่น หรือไม่มั่นใจในการตัดสินใจของตัวเอง ก็อาจส่งผลเสียในระยะยาวได้
-
ศึกษาข้อมูลอย่างรอบคอบ ก่อนตัดสินใจทำศัลยกรรมหน้าอก สิ่งสำคัญคือต้องศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างรอบคอบ เพื่อให้เข้าใจขั้นตอน ความเสี่ยง และผลลัพธ์ที่อาจเกิดขึ้น คุณสามารถศึกษาข้อมูลได้จากเว็บไซต์ของโรงพยาบาลหรือคลินิกศัลยกรรมความงาม พูดคุยกับแพทย์หรือผู้มีประสบการณ์ในการทำศัลยกรรมหน้าอก หรืออ่านบทความเกี่ยวกับเรื่องนี้
-
เลือกแพทย์และคลินิกที่มีประสบการณ์ แพทย์และคลินิกศัลยกรรมความงามที่มีประสบการณ์จะช่วยให้คุณได้รับผลลัพธ์ที่ดีที่สุดและลดความเสี่ยงจากการผ่าตัดได้ คุณสามารถตรวจสอบข้อมูลของแพทย์และคลินิกศัลยกรรมความงามได้จากเว็บไซต์ พูดคุยกับคนไข้ที่เคยทำศัลยกรรมกับแพทย์คนนั้น หรืออ่านรีวิวจากเว็บไซต์ต่างๆ
-
เตรียมตัวก่อนการผ่าตัด ก่อนการผ่าตัด คุณควรเตรียมตัวให้พร้อมทั้งร่างกายและจิตใจ รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ พักผ่อนให้เพียงพอ และงดสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์ เพื่อป้องกันการติดเชื้อและภาวะแทรกซ้อนหลังการผ่าตัด
-
ดูแลตัวเองหลังการผ่าตัด หลังการผ่าตัด คุณควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกันการติดเชื้อและภาวะแทรกซ้อน เช่น สวมเสื้อรัดหน้าอก ห้ามยกของหนัก หลีกเลี่ยงการกระทบกระเทือนบริเวณหน้าอก และหมั่นสังเกตอาการผิดปกติ
การเสริมหน้าอกเป็นศัลยกรรมที่มีความเสี่ยงเช่นเดียวกับการผ่าตัดอื่นๆ ถึงแม้ว่าความเสี่ยงจะค่อนข้างต่ำ แต่ก็ควรตระหนักถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้ เช่น การติดเชื้อ ภาวะแทรกซ้อนจากยาชา ซิลิโคนทะลุ ซิลิโคนแตก เป็นต้น
ข้อมูลทางสถิติการทำศัลยกรรมหน้าอก
ตามข้อมูลของสมาคมศัลยแพทย์ตกแต่งเสริมสวยนานาชาติ (ISAPS) ในปี 2565 การทำศัลยกรรมหน้าอกเป็นการทำศัลยกรรมเสริมความงามที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลก โดยมีผู้เข้ารับการผ่าตัดมากกว่า 4.4 ล้านครั้งทั่วโลก เพิ่มขึ้น 25% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า
สำหรับประเทศไทย การทำศัลยกรรมหน้าอกก็ได้รับความนิยมเช่นเดียวกัน โดยในปี 2565 มีการทำศัลยกรรมหน้าอกมากกว่า 2.2 ล้านครั้ง เพิ่มขึ้น 29% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า
จากข้อมูลดังกล่าว แสดงให้เห็นว่าการทำศัลยกรรมหน้าอกเป็นที่นิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศไทย
ต้องการมืออาชีพช่วยเขียนบทความ?
บริการเขียนบทความ
คุณภาพสูง เน้นการปรับแต่งให้เหมาะสมกับรูปแบบธุรกิจและบริการของคุณ!
เพิ่มความสามารถในการแข่งขันด้วย
บทความ SEO
ที่ช่วยเพิ่มอันดับการค้นหาของเว็บไซต์ของคุณ
ติดต่อเราตอนนี้เพื่อพัฒนากลยุทธ์การตลาดดิจิทัลของคุณ!