1 min read
วิธีที่ผู้บริหารใช้ยักยอกเงินออกจากบริษัท – ป้องกันก่อนที่จะสายเกินไป
Executive Summary:
บทความนี้อธิบายถึงวิธีการที่ผู้บริหารใช้ในการยักยอกเงินออกจากบริษัท ได้แก่ การเบิกค่าใช้จ่ายส่วนตัว การสร้างค่าใช้จ่ายหรือหนี้สินเท็จ การสร้างรายได้ปลอม การรับสินบน การทุจริตในการจัดซื้อจัดจ้าง การเปิดบริษัทเงา การขายทรัพย์สินบริษัทให้แก่ตนเอง การจัดตั้งบริษัทของตน การใช้อำนาจหน้าที่ในการจ่ายเงิน การโยกย้ายพนักงานที่มีความสามารถไปบริษัทตนเอง การจัดตั้งทีมงานของตนเอง การตั้งนโยบายให้ได้ค่าคอมมิชชั่น การนำญาติพี่น้องหรือครอบครัวมาบริหาร และการโยกกระแสเงินเข้าบริษัทตนเองก่อนที่จะเข้าบริษัทโดยตรง นอกจากนี้ยังแนะนำวิธีการป้องกันเพื่อไม่ให้เกิดการยักยอกเงินในองค์กร
หลายคนอาจไม่รู้ว่าผู้บริหารสามารถยักยอกเงินจากบริษัทได้อย่างซับซ้อน นี่เป็นการกระทำที่ส่งผลให้บริษัทสูญเสียเงินมหาศาล เรามาดูวิธีการเหล่านี้และการป้องกันไม่ให้เกิดขึ้น
การยักยอกเงินจากบริษัทโดยผู้บริหารเป็นปัญหาที่พบเจอได้บ่อยในองค์กร ผู้บริหารสามารถเข้าถึงข้อมูลและทรัพยากรของบริษัทเพื่อประโยชน์ส่วนตัว วิธีการที่นิยมใช้ ได้แก่
- การเบิกค่าใช้จ่ายส่วนตัวจากบริษัทไปใช้ส่วนตัว: ผู้เขียนพบว่าผู้บริหารบางคนใช้ทรัพยากรของบริษัทเพื่อตอบสนองความต้องการส่วนตัว ทำให้เกิดการสูญเสียทรัพยากรที่สำคัญ
- การสร้างค่าใช้จ่ายหรือหนี้สินเท็จ: ผู้เขียนเห็นว่าผู้บริหารสามารถสร้างยอดขายหรือหนี้สินเท็จเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวหรือให้กับญาติพี่น้องหรือคนใกล้ชิด วิธีการนี้ซับซ้อนและยากต่อการตรวจสอบ
- การสร้างรายได้ปลอม: สร้างยอดขายที่ไม่มีจริงหรือสร้างลูกหนี้ปลอมเพื่อปกปิดการยักยอกเงิน วิธีการนี้มักใช้เพื่อสร้างภาพลวงตาของรายได้ที่เพิ่มขึ้น
- การรับสินบนหรือค่านายหน้าพิเศษ: ใช้ตำแหน่งในการเรียกรับสินบนหรือค่านายหน้าจากธุรกิจของบริษัท การกระทำนี้เป็นการทำลายความเชื่อมั่นในองค์กร
- การทุจริตในกระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง: ผู้บริหารบางคนสร้างกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างที่ไม่โปร่งใสเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว ทำให้การจัดซื้อจัดจ้างไม่เป็นธรรมและขาดความโปร่งใส
- การเปิดบริษัทเงา: ผู้บริหารบางคนเปิดบริษัทเงาเพื่อหาช่องทางจากบริษัทแม่และนำเงินเข้าสู่บริษัทตนเอง
- การขายทรัพย์สินบริษัทให้แก่ตนเองหรือพวกพ้อง: ขายทรัพย์สินของบริษัทในราคาต่ำเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว วิธีนี้ทำให้บริษัทสูญเสียทรัพย์สินที่มีค่า
- การจัดตั้งบริษัทตนเองเพื่อรับงาน: หลายครั้งที่บริษัทแม่มีขนาดใหญ่มักจะรับงานบางอย่างไม่ได้ ผู้บริหารรู้ถึงจุดนี้ดี เลยคิดว่าไหนๆก็ไม่ได้งานอยู่แล้วก็แค่โยกไปที่บริษัทตนเอง แต่พอทำไปทำมาก็ได้คืบจะเอาศอก
- การใช้อำนาจหน้าที่ในการจ่ายเงินหรือปล่อยกู้: ผู้บริหารบางคนใช้อำนาจในการอนุมัติการจ่ายเงินหรือปล่อยกู้โดยไม่ผ่านการตรวจสอบที่เหมาะสม ทำให้เงินถูกใช้ไปในทางที่ไม่เหมาะสม
- การโยกย้ายพนักงานที่มีความสามารถไปบริษัทตนเอง: โยกย้ายพนักงานที่มีความสามารถไปทำงานในบริษัทของตนเอง ทำให้บริษัทแม่ขาดบุคลากรที่มีความสามารถ
- การจัดตั้งทีมงานของตนเอง: สร้างทีมงานเพื่อดำเนินการยักยอกเงิน ทำให้ตรวจสอบได้ยากขึ้น การกระทำนี้ทำให้การตรวจสอบภายในไม่สามารถทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- การตั้งนโยบายให้ได้ค่าคอมมิชชั่น: กำหนดนโยบายที่ให้มีการจ่ายค่าคอมมิชชั่นให้แก่ผู้บริหารหรือญาติพี่น้องและคนใกล้ชิดไม่ว่าจะขายได้มากแค่ไหนหรือน้อยอย่างไร ผู้บริหารหรือญาติพี่น้องและคนใกล้ชิดก็จะได้ค่าคอมตลอดเวลา
- การนำญาติพี่น้องหรือครอบครัวมาบริหาร: ดึงญาติพี่น้องหรือครอบครัวเข้ามาบริหารเพื่อควบคุมและดำเนินการยักยอกเงินได้ง่ายขึ้น
- การโยกกระแสเงินเข้าบริษัทตนเองก่อนที่จะเข้าบริษัทโดยตรง: ผู้บริหารบางคนจะทำการโยกย้ายเงินของบริษัทเข้าสู่บริษัทที่ตนเองควบคุมก่อน แล้วจึงโยกเข้าบริษัทแม่เพื่อเอายอดขายไปหาผลประโยชน์ เช่น การกู้เงิน สร้างภาพลักษณ์ หรือใช้ต่อรอง
ตามความเชื่อทางศาสนาพุทธ การกระทำเหล่านี้อาจส่งผลให้เกิดกรรมในลักษณะต่างๆ เช่น
- อกุศลกรรม: เป็นการสร้างกรรมชั่วที่อาจส่งผลในชาตินี้หรือชาติหน้า
- การเวียนว่ายในวัฏสงสาร: กรรมชั่วอาจทำให้ต้องเวียนว่ายตายเกิดในภพภูมิที่ต่ำกว่า
- ตกนรก: ในกรณีร้ายแรงอาจต้องไปเกิดในนรกภูมิ
- เกิดในกำเนิดที่ต่ำ: อาจต้องไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานหรือเปรต
- เงินที่ได้มา: อาจหมดไปอย่างรวดเร็ว ไม่ว่ามีมากเท่าไรก็จะหมดลงและทนทรมานใจทำงานอย่างหนักเพราะกลัวจะเสียมันไป
- สูญเสียทรัพย์สิน: อาจประสบกับการสูญเสียทรัพย์สินในชาตินี้หรือชาติหน้า มักเสียเงินไปกับของง่ายๆ
- ขาดความน่าเชื่อถือ: อาจไม่ได้รับความไว้วางใจจากผู้อื่น คนใกล้ชิด และขาดคนสนับสนุน
- จิตใจไม่สงบ: อาจต้องทนทุกข์กับความวิตกกังวล ความรู้สึกผิด และต้องหาข้อแก้ตัวให้ตนเองตลอดเวลาเพื่อใจตัวเองรู้สึกดี
อย่างไรก็ตาม พุทธศาสนาสอนว่าทุกคนสามารถแก้ไขและพัฒนาตนเองได้ การสำนึกผิด ยุติการกระทำที่ไม่ดี และหันมาทำความดีย่อมช่วยบรรเทาผลกรรมได้ การมุ่งเน้นการพัฒนาจิตใจ รักษาศีล และปฏิบัติธรรมจะช่วยให้พ้นจากวงจรของกรรมชั่วได้
เมื่อผู้บริหารเป็นผู้ทำเอง
เมื่อผู้บริหารเป็นผู้ดำเนินการยักยอกเงินด้วยตัวเอง สถานการณ์จะยิ่งซับซ้อนมากขึ้น เนื่องจากผู้บริหารมีอำนาจในการควบคุมทุกด้านของบริษัท ตั้งแต่การบัญชี การตรวจสอบภายใน ไปจนถึงการบริหารจัดการทรัพยากร ซึ่งทำให้การตรวจสอบและการป้องกันยากขึ้นไปอีก นี่คือวิธีที่ผู้บริหารอาจใช้:
- ใช้ตำแหน่งในการปกปิดการกระทำผิด: เนื่องจากมีอำนาจสูงสุด ผู้บริหารสามารถควบคุมและปกปิดข้อมูลที่สำคัญ ทำให้ไม่มีใครสงสัยหรือสามารถตรวจสอบได้ง่าย
- สร้างเครือข่ายที่เชื่อถือได้: ผู้บริหารอาจสร้างทีมงานที่เชื่อถือได้และคอยสนับสนุนการกระทำของเขา ทำให้การตรวจสอบภายในไม่สามารถทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- การใช้บริษัทเงาและการทำธุรกรรมปลอม: ผู้บริหารสามารถเปิดบริษัทเงาหลายแห่งและทำธุรกรรมปลอมเพื่อโยกย้ายเงินออกจากบริษัทแม่อย่างง่ายดาย
- การทำรายงานการเงินที่บิดเบือน: การสร้างรายงานการเงินที่ดูเหมือนถูกต้องแต่แฝงไปด้วยการบิดเบือนข้อมูลเพื่อปกปิดการยักยอกเงิน
ข้อมูลงานวิจัย: จากข้อมูลวิจัยของ ACFE, พบว่า 85% ของกรณียักยอกเงินในองค์กรเกี่ยวข้องกับผู้บริหารระดับสูง โดยมีมูลค่าความเสียหายเฉลี่ยต่อกรณีอยู่ที่ 600,000 ดอลลาร์สหรัฐ
การยักยอกเงินโดยผู้บริหารสามารถป้องกันได้โดยการเพิ่มการตรวจสอบและการสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ยึดมั่นในจริยธรรมและความโปร่งใส การตรวจสอบบัญชีที่เข้มงวดและการสอดส่องการดำเนินงานภายในองค์กรสามารถลดความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ผู้เขียนเห็นว่าการป้องกันการยักยอกเงินควรเป็นหน้าที่ของทุกคนในองค์กร ไม่เพียงแต่ผู้ตรวจสอบบัญชีหรือผู้บริหารระดับสูง การมีการฝึกอบรมเกี่ยวกับจริยธรรมและการตรวจสอบภายในเป็นสิ่งสำคัญในการสร้างองค์กรที่ปลอดภัยและมั่นคง
ต้องการมืออาชีพช่วยเขียนบทความ? บริการเขียนบทความ คุณภาพสูง เน้นการปรับแต่งให้เหมาะสมกับรูปแบบธุรกิจและบริการของคุณ เพิ่มความสามารถในการแข่งขันด้วย บทความ SEO ที่ช่วยเพิ่มอันดับการค้นหาของเว็บไซต์ของคุณ ติดต่อตอนนี้เพื่อพัฒนากลยุทธ์การตลาดดิจิทัลของคุณ