Spread the love

1 min read

เบื่อไหม? ภาพซ้ำ ๆ ของคนติดจอ สร้างความเบื่อหน่ายและความเหินห่าง

bored the repetitive images of people glued to screens

เมื่อมือถือกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต เราให้ความสำคัญกับคนตรงหน้าจริงหรือเปล่า? ในยุคที่มือถือกลายเป็นสิ่งที่แทบจะแยกไม่ออกจากชีวิตประจำวัน หลายคนอาจเคยได้ยินคำพูดเหล่านี้จากคนใกล้ตัว เช่น

  • “ลูก มองหน้าแม่บ้างสิ แม่พูดด้วยอยู่นะ”
  • “ทั้งวันไม่เห็นวางโทรศัพท์เลย เธอจะสนใจฉันบ้างได้ไหม?”
  • “ทุกครั้งที่ฉันเล่าอะไร เธอก็แค่ ‘อืม’ แล้วกลับไปจ้องมือถือต่อ”
  • “พ่อ/แม่ หนูอยากให้มองหนูตอนหนูพูด ไม่ใช่มองแต่จอ”
  • “หนูอยากเล่นกับพ่อ/แม่ แต่พ่อ/แม่เอาแต่ดู TikTok”
  • “หนูขอเวลาพ่อนิดเดียวแล้วพ่อค่อยไปดูมือถือต่อนะ”
  • “หันไปเมื่อไรต้องเจอภาพซ้ำๆก้มหน้าดูจอ”
  • “วันนี้ไม่เห็นหน้าเลยพ่อ/แม่ ดูซีรีย์จบหรือยัง”

หากคุยได้ยินประโยชน์เหล่านี้คุณรู้สึกอย่างไร ลองจินตนาการดูว่าคุณมีเรื่องสำคัญ หรือแม้แต่เรื่องเล่าขำ ๆ ที่อยากแบ่งปันกับใครสักคน แต่สิ่งที่คุณเห็นกลับเป็นเขาที่เอาแต่นั่ง ยืน นอนหรือเดินไปพร้อมกับมือถือในมือ เลื่อนดู TikTok หรือโซเชียลฟีดอย่างต่อเนื่อง หรือนั่งดูซีรีย์อย่างใจจดใจจ่อ ไม่ว่าจะทำสิ่งใดก็มักมีโทรศัพท์ติดมือไปแถมไม่เคยมองคนรอบข้าง ไม่ว่าจะทำอะไรเขาก็กลับไปนั่งจ้องหน้าจอเหมือนเดิม ไม่มีทีท่าว่าจะหันมาสนใจคุณ ราวกับว่าคุณไม่ได้อยู่แถวนั้น คุณจะรู้สึกอย่างไรเมื่อความพยายามที่จะสื่อสารหรือสร้างความใกล้ชิด ถูกแทนที่ด้วยสายตาที่จดจ่ออยู่กับหน้าจอเพียงอย่างเดียว?


Phubbing คืออะไร?

Phubbing อ่านว่า “ฟับ-บิง” (/ˈfʌbɪŋ/) คำนี้เป็นการผสมคำจาก Phone และ Snubbing ซึ่งหมายถึงการเมินเฉยต่อคนรอบข้างเพราะมัวแต่สนใจโทรศัพท์มือถือ หลายคนเข้าใจผิดว่าคำนี้หมายถึงเฉพาะโทรศัพท์มือถือแต่จริงๆแล้วคำนี้ Phubbing ไม่ได้เจาะจงแค่ “สนใจโทรศัพท์มือถือ” ในเชิงการถืออุปกรณ์ แต่เกี่ยวกับ พฤติกรรมที่เน้นความสนใจไปที่สิ่งที่อยู่ในโทรศัพท์ แทนที่จะให้ความสำคัญกับคนหรือสถานการณ์ตรงหน้า

ตัวอย่าง:

  • ก้มหน้าดู TikTok หรือไถโซเชียลขณะนั่งทานข้าวกับเพื่อน
  • แชทกับคนอื่นในโทรศัพท์ขณะฟังเพื่อนเล่าเรื่องสำคัญ
  • เล่นเกมหรือเช็คอีเมลระหว่างการประชุมหรือบทสนทนา
  • คู่รักที่นั่งด้วยกัน แต่ฝ่ายหนึ่งมัวแต่ดูซีรีส์ในมือถือโดยไม่สนใจอีกฝ่าย

พฤติกรรมแบบนี้ถือว่าเป็น Phubbing อีกรูปแบบหนึ่ง และการที่โทรศัพท์หรือหน้าจอกลายเป็น “จุดศูนย์กลางของชีวิต” โดยเฉพาะเมื่อการสนทนาจบลง ทำงานเสร็จ หรือไม่ว่าจะทำอะไรก็มักหันกลับไปหามือถือราวกับเป็นแม่เหล็กตัวใหญ่และขาดไม่ได้ และในหลายๆครั้งไม่สามารถรับรู้ได้เลยว่าสภาพแวดล้อมในต้องนั้นเป็นอย่างไร


เหตุผลที่หลายคนติดจอ: “ไม่มีอะไรทำ” และ “ทำตามพ่อแม่”

1. “ไม่มีอะไรทำ” จริงหรือ?

มีหลายครั้งที่เราอ้างว่า

“ก็ไม่มีอะไรทำเลยหยิบมือถือขึ้นมาเล่น”

ในมุมมองผิวเผินอาจดูเป็นเรื่องปกติ แต่หากมองลึกลงไป บ่อยครั้ง “ไม่มีอะไรทำ” กลายเป็นข้ออ้างเพื่อหลีกเลี่ยงความเบื่อ ความเหงา หรือความกังวลบางอย่างที่เราไม่อยากเผชิญหน้า ทำให้มือถือเป็นตัวเลือกที่ง่ายที่สุดในการฆ่าเวลาและเบี่ยงเบนความสนใจ

  • การหนีเบื่อ (Boredom)
    การไถฟีด โซเชียลมีเดีย หรือดูวิดีโอสั้น ๆ (Short Videos) ตอบสนองต่อความต้องการ “ความตื่นเต้น” ระยะสั้นได้ดี

  • การหนีความกังวล (Anxiety Escape)
    บางคนเครียดหรือมีปัญหา แต่ไม่ต้องการเผชิญกับมัน จึงใช้มือถือเป็นเครื่องมือ “หลีกหนี” ความคิดลบ ๆ ชั่วคราว

  • ความเคยชิน (Habit Loop)
    ทุกครั้งที่ว่าง สมองจะจดจำว่า “เปิดมือถือ เลื่อนฟีด” เป็นนิสัยอัตโนมัติ จนบางครั้งทำไปโดยไม่รู้ตัว

2. “ทำตามพ่อแม่” และการเลียนแบบ (Modeling)

ในกรณีของเด็กหรือวัยรุ่น หนึ่งในเหตุผลที่พวกเขาใช้มือถือมาก อาจเป็นเพราะ

“เห็นพ่อแม่ก็ทำ เลยทำบ้าง”

ตามทฤษฎีจิตวิทยาสังคม (Social Learning Theory) ของ Albert Bandura เด็กเรียนรู้โดยการสังเกต (Observational Learning) และเลียนแบบ (Modeling) พฤติกรรมของคนใกล้ชิดมากที่สุด ซึ่งก็คือพ่อแม่หรือผู้ปกครอง

  • พ่อแม่คือ Role Model แรก
    เด็กซึมซับพฤติกรรมจากสิ่งที่ “เห็น” มากกว่าสิ่งที่ “ได้ยิน” ดังนั้น หากพ่อแม่ก็เอาแต่ก้มหน้าดูจอ ลูกย่อมทำตามอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

  • วงจรซ้ำในครอบครัว
    เมื่อลูกเล่นมือถือมาก พ่อแม่อาจมองว่า “ลูกก็กำลังเล่นอยู่” ก็เลยเล่นต่อ สุดท้ายไม่มีใครสื่อสารกันจริงจัง กลายเป็น “ครอบครัวก้มหน้า”

  • รูปแบบกิจวัตรในบ้าน
    หากทุกคนอยู่กับจอกันเป็นหลัก ก็ยิ่งทำให้เด็กเข้าใจผิดว่าการติดมือถือเป็นเรื่องปกติ ไม่มีเหตุผลให้ต้องละมือจากมัน


วัฏจักรของพฤติกรรม “จบแล้วกลับไปหาโทรศัพท์”

การเมินเฉยต่อคนรอบข้างเพราะมัวแต่สนใจโทรศัพท์มือถือ เป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ในสังคมปัจจุบัน มีงานวิจัยที่ชี้ให้เห็นถึงผลกระทบดังกล่าว ดังนี้:

  • ความพึงพอใจในความสัมพันธ์ลดลง: การที่คู่สนทนาหรือคู่รักถูกเมินเฉยจากการใช้โทรศัพท์มือถือ ทำให้เกิดความรู้สึกไม่พึงพอใจในความสัมพันธ์ และอาจนำไปสู่ความขัดแย้งหรือการยุติความสัมพันธ์ได้
  • ความรู้สึกโดดเดี่ยวและหึงหวงเพิ่มขึ้น: ผู้ที่ถูก Phubbing อาจรู้สึกโดดเดี่ยว หวาดระแวง หรือหึงหวง เนื่องจากรู้สึกว่าตนไม่ได้รับความสนใจหรือความสำคัญเท่าที่ควร https://www.pptvhd36.com/health/how-to/5435
  • ผลกระทบต่อสุขภาพจิต: พฤติกรรม Phubbing ไม่เพียงส่งผลต่อความสัมพันธ์ แต่ยังส่งผลต่อสุขภาพจิตของทั้งผู้กระทำและผู้ถูกกระทำ เช่น ความวิตกกังวล ความซึมเศร้า และความรู้สึกโดดเดี่ยว https://www.verywellmind.com/what-is-phubbing-8647390

จากข้อมูลเหล่านี้ แสดงให้เห็นว่าพฤติกรรม Phubbing มีผลกระทบที่ชัดเจนต่อความสัมพันธ์และสุขภาพจิตของบุคคลในสังคม


 playing a mobile game

สถานการณ์แบบนี้ส่งผลอย่างไรต่อความสัมพันธ์?

1. “การทำทุกอย่างให้” ไม่ได้หมายถึง “การให้เวลา”

แม้ว่าคนที่ติดจอจะบอกว่า “ฉันทำทุกอย่างให้แล้วนะ” เช่น ช่วยทำงานบ้าน ช่วยแก้ปัญหาต่าง ๆ แต่สิ่งที่คนอยากคุยต้องการจริง ๆ คือ การใส่ใจในระดับอารมณ์และความรู้สึก การ “ทำงาน” กับการ “ตั้งใจฟัง” เป็นสองเรื่องที่ไม่เหมือนกัน เมื่ออีกฝ่ายรู้สึกว่าเขาถูกจัดลำดับความสำคัญไว้ต่ำกว่าสิ่งในจอ ความรู้สึกนั้นก็สะสมเป็นระยะยาว จนความสัมพันธ์อาจกลายเป็นช่องว่างที่กว้างขึ้นเรื่อย ๆ


2. คำพูดว่า “เหมือนเดิม พูดมาสิ” ไม่ได้ทำให้รู้สึกใกล้ชิด

การพูดแบบนี้แม้จะดูเหมือนเปิดโอกาสให้คุย แต่ในเชิงอารมณ์มันส่งสารว่า “ฉันไม่ได้ให้ความสำคัญกับสิ่งที่เธอจะพูดเท่าไหร่หรอก” มันทำให้คนที่อยากคุยรู้สึกว่าคำพูดหรือความรู้สึกของเขาไม่ได้มีค่า สิ่งที่เขาต้องการจริง ๆ ไม่ใช่แค่โอกาสพูด แต่คือการได้รับการ “รับฟัง” อย่างแท้จริง


3. ภาพซ้ำ ๆ ของคนติดจอ สร้างความเบื่อหน่ายและความเหินห่าง

การที่คนอยากคุยหันไปทางไหนก็เห็นอีกฝ่ายจ้องมือถือเหมือนเดิมทุกครั้ง ไม่ว่าจะตอนเดิน กิน เที่ยว ทำงานบ้าน หรือแม้กระทั่งเวลาว่างๆ ภาพซ้ำ ๆ เหล่านี้สามารถสร้างความรู้สึกเบื่อหน่าย และทำให้ความสัมพันธ์ค่อย ๆ จืดจาง เพราะไม่มีการปฏิสัมพันธ์ที่มีคุณภาพเกิดขึ้น


ผลกระทบที่เกิดขึ้น

  1. ความเบื่อหน่ายสะสม : ภาพซ้ำ ๆ ของคนติดจอ โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่ควรมีการปฏิสัมพันธ์ เช่น ขณะรับประทานอาหารร่วมกัน ทำงานบ้านด้วยกัน หรือใช้เวลาว่างด้วยกัน ทำให้เกิดความรู้สึกว่าหน้าจอมีความสำคัญมากกว่า และไม่มีเวลาไหนเลยที่หน้าจอจากไป
  2. ความสัมพันธ์ที่ขาดความใส่ใจ : เมื่ออีกฝ่าย “อยู่ตรงนั้น” เพียงร่างกาย แต่ใจจดจ่ออยู่กับโทรศัพท์ ผู้ที่อยากพูดคุยหรือใกล้ชิดอาจเริ่มรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้รับความสำคัญ เป็นเพียงตัวประกอบในชีวิตของอีกฝ่าย เกิดความไม่มั่นใจว่าเค้าจะว่างไหมเพราะไม่มีเวลาว่างเคยแม้แต่ตอนเข้าห้องน้ำ
  3. การขาดการปฏิสัมพันธ์เชิงคุณภาพ : การสื่อสารที่ดีต้องการการให้ความสนใจทั้งสองฝ่าย ไม่ใช่แค่การฟังผ่าน ๆ หรือการตอบกลับอย่างขอไปที ภาพซ้ำ ๆ ของการจ้องจอโดยไม่มีสายตาและความใส่ใจจากอีกฝ่าย จะทำให้บทสนทนากลายเป็นเพียงพิธีกรรมที่ขาดความหมาย

ตัวอย่างในชีวิตประจำวัน

ลองจินตนาการถึงสถานการณ์เหล่านี้:

  • ขณะคู่รักกำลังพยายามพูดคุยเรื่องสำคัญ แต่คนหนึ่งตอบกลับด้วยคำว่า “อืม” หรือ “อ๋อ” โดยที่ตายังจดจ่อกับหน้าจอ
  • ลูกต้องการความช่วยเหลือในงานโรงเรียน แต่พ่อหรือแม่ตอบว่า “ทำให้หมดแล้ว” อยากได้อะไรก็บอกนะ แล้วหันไปมองหน้าจอต่อไป
  • เพื่อนนัดเจอเพื่อพูดคุยเพื่อทำงานกลุ่ม แต่กลับได้คำพูดที่ว่ามีอะไรก็บอกมานะพร้อมช่วยเต็มที่เลย แล้วหันไปมองหน้าจอดู Tiktok ต่อ
  • แม่/พ่อ ลูกไม่สบายทำอย่างไรดี มีอะไรก็บอกมาละกัน  แล้วหันไปมองหน้าจอ

ผลกระทบระยะยาว

เมื่อภาพเหล่านี้เกิดขึ้นซ้ำ ๆ ไม่เพียงแต่จะสร้างความรู้สึกเบื่อหน่าย แต่ยังทำให้เกิดความรู้สึกห่างเหินและไม่สนิทใจ ซึ่งอาจนำไปสู่การลดการพูดคุยเพื่อไปคุยกับคนที่รับฟัง ทำให้ลดการใช้เวลาอยู่ร่วมกัน และสุดท้าย ความสัมพันธ์ที่เคยแน่นแฟ้นอาจจืดจางลงอย่างช้า ๆ เพราะต่างคนก็ต่างอยู่ในหน้าจอของตน


 the impact of smartphone addiction on couples

ระยะเวลาในการใช้จอที่ควรระวัง

  1. เกิน 3-4 ชั่วโมงต่อวัน
    • การใช้งานหน้าจอโดยเฉลี่ยที่เหมาะสมควรอยู่ที่ประมาณ 3-4 ชั่วโมงต่อวัน หากใช้งานเกินกว่านี้ อาจส่งผลต่อสุขภาพกาย เช่น ปวดตา ออฟฟิศซินโดรม และสุขภาพจิต เช่น การเสพติดเนื้อหาออนไลน์
  2. ช่วงเวลาที่สำคัญในชีวิตประจำวัน
    • การใช้จอในช่วงเวลาที่ควรให้ความสำคัญกับคนรอบข้าง เช่น เวลากินข้าว เวลาคุยกับครอบครัว หรือก่อนนอน อาจสร้างความห่างเหินและลดความใกล้ชิดในความสัมพันธ์

ความเชื่อมโยงระหว่าง “การไม่สามารถอยู่กับความเงียบได้” และ “การติดจอ”

  1. ความกลัวความว่างเปล่า (Fear of Silence)

    • หลายคนรู้สึกอึดอัดเมื่ออยู่ในความเงียบหรือไม่มีสิ่งกระตุ้นจิตใจ การใช้งานมือถือหรือเลื่อนดูโซเชียลมีเดียกลายเป็นวิธีเบี่ยงเบนความสนใจจากความเงียบ
    • พฤติกรรมนี้ส่งผลให้สมองไม่มีโอกาสพักผ่อน และทำให้เราพึ่งพาเทคโนโลยีเป็นแหล่งความสุขหลัก
  2. การแสวงหาการกระตุ้นทางสมองตลอดเวลา

    • การหลั่ง Dopamine จากการเลื่อนดูฟีดโซเชียล ทำให้เราชินกับความกระตุ้นที่ต่อเนื่อง ส่งผลให้เราไม่สามารถอยู่กับความสงบได้ เพราะสมองต้องการข้อมูลใหม่อยู่ตลอด มักต้องการได้รับสิ่งกระตุ้นใหม่ตลอดเวลา เช่น ข่าว ภาพ วิดีโอ เรื่องน่าสนใจต่าง ๆ พอหยุดทำกิจกรรมเหล่านี้ อาจรู้สึกเบื่อหรือกระวนกระวายง่ายขึ้นเหมือนขาดอะไรไป
  3. ความรู้สึกต้อง “เชื่อมต่อ” ตลอดเวลา

    • พฤติกรรมที่เราไม่ยอมอยู่เงียบ ๆ อาจเกี่ยวข้องกับความรู้สึกว่าต้องอยู่ในโลกออนไลน์เสมอ กลัวพลาดข่าวสาร (Fear of Missing Out – FOMO) หรือรู้สึกว่าความเงียบเป็นสัญลักษณ์ของการถูกตัดขาดจากสังคม
  4. ความเงียบที่สะท้อนอารมณ์และความคิด

    • ความเงียบอาจทำให้บางคนต้องเผชิญกับความคิดลึก ๆ ที่ตนเองไม่อยากยอมรับ เช่น ความเหงา ความไม่มั่นคง หรือปัญหาชีวิต การใช้มือถือจึงกลายเป็นเครื่องมือหลีกหนีจากความรู้สึกเหล่านี้

การหลั่ง Dopamine กับการใช้มือถือ

การเลื่อนดูโซเชียลมีเดียจะทำให้สมองหลั่ง Dopamine ซึ่งเป็นสารแห่งความสุขในระยะสั้น แต่การพูดคุยแบบตัวต่อตัวจะสร้างความสัมพันธ์ระยะยาวที่มั่นคง

  • ความพึงพอใจที่ชั่วคราว
    • แม้การเลื่อนดูโซเชียลมีเดียจะสร้างความสุขชั่วคราว แต่สมองจะเริ่มชินกับรางวัลแบบนี้ และต้องการมันมากขึ้นเรื่อย ๆ (Dopamine Desensitization) ส่งผลให้เราหันไปหาโซเชียลมีเดียมากกว่าที่จะใส่ใจคนรอบตัว
  • การลดความสามารถในการจดจ่อ
    • โซเชียลมีเดียถูกออกแบบมาให้กระตุ้นสมองตลอดเวลา เช่น การแจ้งเตือน (Notifications) หรือการแนะนำเนื้อหาที่ดึงดูดใจ สิ่งเหล่านี้ทำให้สมองของเราคุ้นเคยกับการรับข้อมูลที่เปลี่ยนแปลงเร็ว และลดความสามารถในการโฟกัสระยะยาว เช่น การฟังคนพูดคุยหรือการปฏิสัมพันธ์ที่ต้องใช้เวลาและความตั้งใจ
  • ลดคุณค่าของความสัมพันธ์ในชีวิตจริง
    • การมุ่งเน้นไปที่หน้าจอแทนการสนทนากับคนตรงหน้า ทำให้เราไม่สามารถเชื่อมโยงในระดับอารมณ์กับคนรอบตัวได้ เพราะการพูดคุยแบบตัวต่อตัวต้องใช้การแสดงออกทางอารมณ์ (เช่น การสบตา หรือสีหน้า) ซึ่งช่วยสร้างความเชื่อมโยงที่ยั่งยืนมากกว่า

มือถือไม่ใช่ปัญหา แต่การเลือกใช้งานคือคำตอบ

พฤติกรรมของเราที่ทำให้มันกลายเป็นกำแพงในความสัมพันธ์ หากเราสามารถปรับสมดุลระหว่างการใช้งานมือถือกับการให้ความสำคัญกับคนรอบข้าง ความสัมพันธ์ก็จะดีขึ้นอย่างแน่นอน อย่าลืมวางจอมือถือ แล้วหันไปมองคนที่กำลังรอคุยกับคุณบ้างนะครับ บางทีสิ่งที่เขาจะพูดอาจสำคัญกว่าสิ่งที่อยู่ในหน้าจอเสียอีก 😊
“มือถืออาจพาคุณไปทุกที่ในโลกออนไลน์ แต่หัวใจของคนตรงหน้าคือที่ที่คุณควรใส่ใจที่สุด”


สถิติเกี่ยวกับการใช้มือถือ

  1. คนใช้มือถือมากขึ้นเรื่อย ๆ:
    รายงานจาก DataReportal (2024) ระบุว่า:

    • ผู้ใช้งานมือถือทั่วโลกมีมากกว่า 5.48 พันล้านคน คิดเป็นประมาณ 69% ของประชากรโลก
    • คนใช้มือถือเฉลี่ยประมาณ 3-4 ชั่วโมงต่อวัน บางกลุ่มอายุ เช่น วัยรุ่น อาจใช้ถึง 5-7 ชั่วโมงต่อวัน
  2. ผลกระทบต่อความสัมพันธ์ในครอบครัว:
    • งานวิจัยจาก Pew Research Center ในสหรัฐอเมริกา พบว่า 45% ของคู่รักระบุว่า การใช้มือถือหรือเทคโนโลยีมีผลกระทบต่อความใกล้ชิดในความสัมพันธ์
    • ประมาณ 36% ของพ่อแม่ยอมรับว่าตนเองติดมือถือจนบางครั้งละเลยการใช้เวลากับลูก
  3. สถานการณ์ในประเทศไทย:
    ข้อมูลจาก สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ETDA) ประเทศไทยในปี 2023 พบว่า:

    • คนไทยใช้มือถือเฉลี่ย 7 ชั่วโมง 4 นาทีต่อวัน
    • 68.9% ของคนไทยใช้มือถือในช่วงรับประทานอาหาร
    • 40% ของคนไทยยอมรับว่าติดมือถือจนรู้สึกว่าเวลาส่วนตัวกับครอบครัวลดลง

ปัญหาที่เกิดในสถานที่ต่าง ๆ

  1. ในครอบครัว:
    • เวลารับประทานอาหารกลายเป็นช่วงที่ทุกคนอยู่กับมือถือแทนที่จะพูดคุยกัน
    • พ่อแม่บางคนไม่สามารถแยกตัวจากหน้าจอแม้ในช่วงเวลาที่ลูกต้องการความสนใจ เช่น การช่วยทำการบ้าน
  2. ในที่ทำงาน:
    • 50% ของผู้จัดการที่ตอบแบบสำรวจในไทย ระบุว่าพนักงานเสียสมาธิจากการใช้มือถือในเวลางาน
    • การสื่อสารในที่ทำงานลดคุณภาพลง เพราะบางคนเลือกที่จะตอบข้อความผ่านมือถือมากกว่าการพูดคุยตรงหน้า
  3. ในสังคมทั่วไป:
    • เมื่อไปพบปะเพื่อนหรือออกไปทำกิจกรรม คนส่วนใหญ่มักถ่ายภาพและอัปโหลดในโซเชียลมีเดียแทนที่จะสนทนาหรือมีปฏิสัมพันธ์กับคนรอบข้าง

สรุป

  • ประมาณ 40-70% ของคนในสังคมยุคใหม่ได้รับผลกระทบจากการใช้มือถือในเชิงความสัมพันธ์
  • สถานที่ที่มีผลกระทบมากที่สุดคือ ในครอบครัว และ ในสังคมทั่วไป ซึ่งการขาดการปฏิสัมพันธ์ที่มีคุณภาพเป็นปัญหาหลัก

การใช้มือถือกับผลกระทบทางจิตวิทยาและความสัมพันธ์

งานวิจัยและหลักวิชาการมีการศึกษาเรื่องนี้ไว้อย่างกว้างขวาง เช่น:

1. ผลกระทบของ “Phubbing” ต่อความสัมพันธ์
“Phubbing” (Phone + Snubbing) คือพฤติกรรมเมินเฉยคนตรงหน้าโดยใช้มือถือแทน งานวิจัยจาก University of Kent พบว่าพฤติกรรมนี้สามารถลดความพึงพอใจในความสัมพันธ์ ทั้งในบริบทครอบครัวและคู่รัก เพราะทำให้ผู้ที่ถูกเมินรู้สึกถูกลดความสำคัญ

2. การแบ่งปันความสนใจต่อกัน (Joint Attention)
หลักจิตวิทยาสังคมชี้ว่าการแบ่งปันความสนใจในช่วงเวลาร่วมกันเป็นหัวใจสำคัญของการสร้างความสัมพันธ์ที่ดี หากสายตาหรือจิตใจของฝ่ายหนึ่งอยู่ที่มือถือ แทนที่จะอยู่กับคนตรงหน้า จะทำให้ความสัมพันธ์เสื่อมลงในระยะยาว

3. สมองและการตอบสนองต่อ “การให้ความสำคัญ”
จากการศึกษาของ Harvard University พบว่า สมองของมนุษย์ถูกออกแบบมาให้ตอบสนองต่อความสนใจและการสื่อสารแบบตัวต่อตัวมากกว่าผ่านหน้าจอ เมื่อการสนทนาเกิดขึ้นโดยไม่มีการปฏิสัมพันธ์ทางกาย (เช่น สบตา สีหน้า) การรับรู้ของอีกฝ่ายอาจถูกบั่นทอนว่าความสัมพันธ์นั้นไม่มีความหมาย

4. Social Media และ Dopamine Loop
การติดหน้าจอเกิดจากการหลั่งโดพามีน (Dopamine) ในสมองขณะเราเลื่อนดูฟีดต่าง ๆ โดยสมองจะจดจำสิ่งเหล่านี้ว่าเป็นรางวัล (Reward) ทำให้เกิดพฤติกรรมการเสพติดซ้ำ ๆ อย่างไม่รู้ตัว ซึ่งส่งผลต่อการลดความใส่ใจต่อคนรอบข้างในโลกจริง

5. พฤติกรรม “Second Screen” และการลดประสิทธิภาพในการสื่อสาร
การใช้มือถือในขณะที่กำลังสนทนา (Second Screen Behavior) ทำให้สมองเกิดการแบ่งความสนใจ (Multitasking) ซึ่งตามงานวิจัยของ Stanford University พบว่าประสิทธิภาพในการทำความเข้าใจและการจดจ่อในบทสนทนาจะลดลงถึง 40%


แหล่งข้อมูลที่น่าสนใจ

  1. Roberts, J. A., & David, M. E. (2016). “Phubbing” behaviors and their impact on relationships.
  2. Tomasello, M. (2009). Joint Attention in Social Interaction: The Cognitive Foundations.
  3. Zaki, J. (2014). Empathy and social interaction in the age of technology.
  4. Alter, A. (2017). Irresistible: The Rise of Addictive Technology.
  5. Ophir, E., Nass, C., & Wagner, A. D. (2009). Cognitive control in media multitaskers.

ต้องการมืออาชีพช่วยเขียนบทความ? บริการเขียนบทความ คุณภาพสูง เน้นการปรับแต่งให้เหมาะสมกับรูปแบบธุรกิจและบริการของคุณ!

เพิ่มความสามารถในการแข่งขันด้วย บทความ SEO ที่ช่วยเพิ่มอันดับการค้นหาของเว็บไซต์ของคุณ

ติดต่อเราตอนนี้เพื่อพัฒนากลยุทธ์การตลาดดิจิทัลของคุณ!


Spread the love