1 min read
กรดไหลย้อนในเด็ก ภัยเงียบที่พ่อแม่ไม่ควรมองข้าม
“ลูกร้องไห้งอแง ไม่ยอมกินนม ชอบเอามือล้วงคอ บางครั้งก็อาเจียนออกมาเป็นน้ำนมหรืออาหาร” อาการเหล่านี้อาจเป็นสัญญาณของโรคกรดไหลย้อนในเด็ก ซึ่งพบได้บ่อยในเด็กเล็กวัยแรกเกิดถึง 2 ขวบ โดยเฉพาะเด็กที่กินนมแม่หรือนมผสม
กรดไหลย้อนในเด็กเกิดจากอะไร?
กรดไหลย้อนในเด็กเกิดจากสาเหตุหลัก 2 ประการ ได้แก่
- หูรูดหลอดอาหารส่วนล่าง (LES) ทำงานผิดปกติ
LES เป็นกล้ามเนื้อที่ทำหน้าที่ปิดกั้นระหว่างหลอดอาหารและกระเพาะอาหาร หาก LES ทำงานผิดปกติ อาจทำให้กรดในกระเพาะอาหารไหลย้อนกลับขึ้นไปที่หลอดอาหารได้
ในเด็กแรกเกิดและทารก หูรูด LES มักยังไม่แข็งแรงเต็มที่ จึงทำให้มีโอกาสเกิดกรดไหลย้อนได้มากกว่าเด็กโตหรือผู้ใหญ่
- ปัจจัยอื่น ๆ ที่อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดกรดไหลย้อนในเด็ก
ปัจจัยอื่น ๆ ที่อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดกรดไหลย้อนในเด็ก ได้แก่
- เด็กอ้วนหรือน้ำหนักเกิน
- เด็กที่กินนมหรืออาหารมื้อใหญ่มากเกินไป
- เด็กที่กินอาหารหรือเครื่องดื่มที่มีไขมันสูง คาเฟอีน หรือแอลกอฮอล์
- เด็กที่สูดดมบุหรี่หรืออยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีควันบุหรี่
- เด็กที่ป่วยเป็นโรคบางอย่าง เช่น โรคกรดไหลย้อนเรื้อรัง (GERD) โรคตับอ่อนอักเสบ โรคภูมิแพ้ โรคหืด โรคลมชัก เป็นต้น
กรดไหลย้อนเป็นมากในช่วงอายุเท่าไร
กรดไหลย้อนเป็นภาวะที่พบได้บ่อยในทุกกลุ่มอายุ แต่พบว่าพบได้บ่อยที่สุดในเด็กเล็กวัยแรกเกิดถึง 2 ขวบ ประมาณร้อยละ 40-60 ของเด็กเล็กในวัยนี้อาจมีอาการกรดไหลย้อน โดยอาการจะค่อยๆ ลดลงเมื่อเด็กโตขึ้นและกล้ามเนื้อหูรูดหลอดอาหารส่วนล่าง (LES) พัฒนาเต็มที่ ซึ่งมักเกิดขึ้นเมื่อเด็กอายุประมาณ 5-6 ขวบ
นอกจากนี้ กรดไหลย้อนยังพบได้บ่อยในผู้ใหญ่วัยทำงาน โดยประมาณร้อยละ 25 ของผู้ใหญ่วัยทำงานอาจมีอาการกรดไหลย้อน ส่วนในผู้สูงอายุ พบว่าพบกรดไหลย้อนได้มากขึ้น เนื่องจากกล้ามเนื้อหูรูดหลอดอาหารส่วนล่างอ่อนแรงลงตามวัย
นอกจากปัจจัยด้านอายุแล้ว ปัจจัยอื่นๆ ที่อาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดกรดไหลย้อน ได้แก่
- น้ำหนักตัวเกินหรืออ้วน
- การสูบบุหรี่
- การดื่มแอลกอฮอล์
- การใช้ยาบางชนิด เช่น ยาแก้อักเสบชนิดไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs)
- การตั้งครรภ์
- โรคบางชนิด เช่น โรคกรดไหลย้อนเรื้อรัง (GERD) โรคเบาหวาน โรคกล้ามเนื้อหูรูดหลอดอาหารส่วนล่างทำงานผิดปกติ (achalasia)
หากพบอาการของกรดไหลย้อน เช่น แสบร้อนกลางอก เปรี้ยวปาก กลืนลำบาก อาเจียน เป็นต้น ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยและรักษาอย่างถูกต้อง
กรดไหลย้อนทำให้เป็นโรคมะเร็งได้ไหม
กรดไหลย้อนในเด็กไม่ได้ทำให้เป็นโรคมะเร็งโดยตรง แต่กรดไหลย้อนเรื้อรังอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งหลอดอาหารในเด็กได้ โดยประมาณว่าเพียงร้อยละ 1-6 ของผู้ป่วยโรคกรดไหลย้อนเรื้อรังเท่านั้นที่อาจพัฒนาเป็นมะเร็งหลอดอาหารได้
กรดไหลย้อนเรื้อรังทำให้กรดในกระเพาะอาหารไหลย้อนกลับขึ้นไปที่หลอดอาหาร ทำให้เกิดการอักเสบเรื้อรังที่บริเวณหลอดอาหาร หากปล่อยให้อักเสบเรื้อรังเป็นเวลานาน อาจทำให้เซลล์เยื่อบุผิวหลอดอาหารเปลี่ยนแปลงไปกลายเป็นเซลล์มะเร็งได้
อย่างไรก็ตาม โอกาสเกิดมะเร็งหลอดอาหารจากกรดไหลย้อนนั้นค่อนข้างต่ำ และมักพบในเด็กที่มีอายุมากกว่า 10 ปีขึ้นไป ดังนั้น ผู้ปกครองจึงไม่ควรวิตกกังวลมากเกินไปหากเด็กมีอาการกรดไหลย้อนเล็กน้อย แต่ควรพาเด็กไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยและรักษาอย่างเหมาะสม หากเด็กมีอาการกรดไหลย้อนรุนแรงหรือเรื้อรัง
นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งหลอดอาหารในเด็ก ได้แก่
- เด็กอ้วนหรือน้ำหนักเกิน
- เด็กที่กินนมหรืออาหารมื้อใหญ่มากเกินไป
- เด็กที่กินอาหารหรือเครื่องดื่มที่มีไขมันสูง คาเฟอีน หรือแอลกอฮอล์
- เด็กที่สูดดมบุหรี่หรืออยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีควันบุหรี่
- เด็กที่ป่วยเป็นโรคบางอย่าง เช่น โรคกรดไหลย้อนเรื้อรัง (GERD) โรคตับอ่อนอักเสบ โรคภูมิแพ้ โรคหืด โรคลมชัก เป็นต้น
ผู้ปกครองควรดูแลสุขภาพของเด็กอย่างเหมาะสม เพื่อลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งหลอดอาหารในเด็ก เช่น
- ให้เด็กรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ หลีกเลี่ยงอาหารหรือเครื่องดื่มที่มีไขมันสูง คาเฟอีน หรือแอลกอฮอล์
- ควบคุมน้ำหนักของเด็กให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม
- ให้ลูกนอนราบหลังรับประทานอาหารอย่างน้อย 3 ชั่วโมง
- ให้ลูกออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
- ไม่ให้ลูกสูบบุหรี่หรืออยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีควันบุหรี่
- พาลูกไปตรวจสุขภาพเป็นประจำ
กรดไหลย้อนในวัยเด็กรักษายังไง
การรักษากรดไหลย้อนในวัยเด็ก ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการ โดยการรักษาเบื้องต้นจะเน้นไปที่การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและการใช้ยา ดังนี้
-
การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม สามารถทำได้ดังนี้
- ให้นมหรือป้อนอาหารให้ลูกในท่าตั้งตรง หรือเอียงศีรษะไปทางด้านหลังเล็กน้อย
- ให้ลูกนั่งหรือยืนประมาณ 30 นาทีหลังรับประทานอาหารก่อนนอน
- หลีกเลี่ยงการให้ลูกนอนราบหลังรับประทานอาหารทันที
- ให้ลูกรับประทานอาหารมื้อเล็ก ๆ บ่อย ๆ
- หลีกเลี่ยงอาหารและเครื่องดื่มที่กระตุ้นให้เกิดกรดไหลย้อน เช่น อาหารรสจัด อาหารมัน อาหารเผ็ด เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ กาแฟ ชา
- ลดน้ำหนักหากเด็กมีน้ำหนักเกินหรืออ้วน
-
การใช้ยา หากการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมไม่ได้ผลหรืออาการรุนแรง แพทย์อาจพิจารณาให้ยาลดกรดไหลย้อน เช่น ยาลดกรด ยาโปรตอนปั๊มอินฮิบิเตอร์ (PPI) หรือยา H2-receptor antagonists
ในบางกรณี แพทย์อาจพิจารณาทำการผ่าตัดเพื่อแก้ไขความผิดปกติของหูรูดหลอดอาหาร เช่น การผ่าตัด Nissen fundoplication
สำหรับเด็กทารกที่มีอาการกรดไหลย้อนเล็กน้อย อาจไม่จำเป็นต้องใช้ยา โดยแพทย์จะแนะนำให้ผู้ปกครองปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเป็นหลัก ดังนี้
- ให้นมในท่าตั้งตรง หรือเอียงศีรษะไปทางด้านหลังเล็กน้อย
- ให้ลูกนั่งหรือยืนประมาณ 30 นาทีหลังรับประทานอาหารก่อนนอน
- หลีกเลี่ยงการให้นมหรือป้อนอาหารให้ลูกก่อนนอนทันที
- ให้ลูกรับประทานอาหารมื้อเล็ก ๆ บ่อย ๆ
- หลีกเลี่ยงอาหารรสจัด อาหารมัน อาหารเผ็ด เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ กาแฟ ชา
หากอาการกรดไหลย้อนรุนแรงขึ้น แพทย์อาจพิจารณาให้ยาลดกรดไหลย้อนหรือยา PPI
ผู้ปกครองควรสังเกตอาการของเด็กอย่างใกล้ชิด หากมีอาการต่อไปนี้ ควรรีบไปพบแพทย์ทันที
- อาเจียนบ่อย
- น้ำหนักลด
- เจ็บหน้าอก
- ไอเรื้อรัง
- หายใจลำบาก
- มีเลือดปนในอาเจียนหรืออุจจาระ
หากหูรูดหลอดอาหารทำงานปกติก็จะไม่เป็นกรดไหลย้อน?
หากหูรูดหลอดอาหารทำงานปกติ ก็จะไม่เกิดการไหลย้อนของกรดในกระเพาะอาหารกลับขึ้นไปที่หลอดอาหาร หรือที่เรียกว่ากรดไหลย้อน (Gastroesophageal reflux disease: GERD)
หูรูดหลอดอาหารส่วนล่าง (Lower esophageal sphincter: LES) เป็นกล้ามเนื้อที่ทำหน้าที่ปิดกั้นระหว่างหลอดอาหารและกระเพาะอาหาร หาก LES ทำงานผิดปกติ อาจทำให้กรดในกระเพาะอาหารไหลย้อนกลับขึ้นไปที่หลอดอาหารได้ สาเหตุที่ LES ทำงานผิดปกติอาจเกิดจากปัจจัยต่างๆ เช่น
- เด็กแรกเกิดและทารก หูรูด LES มักยังไม่แข็งแรงเต็มที่
- น้ำหนักตัวเกินหรืออ้วน
- รับประทานอาหารหรือเครื่องดื่มที่มีไขมันสูง คาเฟอีน หรือแอลกอฮอล์
- สูดดมบุหรี่หรืออยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีควันบุหรี่
- โรคบางชนิด เช่น โรคกรดไหลย้อนเรื้อรัง (GERD) โรคตับอ่อนอักเสบ โรคภูมิแพ้ โรคหืด โรคลมชัก เป็นต้น
ดังนั้น หากหูรูดหลอดอาหารทำงานปกติ ก็จะช่วยป้องกันไม่ให้กรดในกระเพาะอาหารไหลย้อนกลับขึ้นไปที่หลอดอาหาร และส่งผลให้ไม่มีอาการกรดไหลย้อนนั่นเอง
อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดกรดไหลย้อนได้ แม้ว่าหูรูดหลอดอาหารจะทำงานปกติ เช่น
- รับประทานอาหารมื้อใหญ่เกินไป
- รับประทานอาหารหรือเครื่องดื่มเร็วเกินไป
- นอนราบหลังรับประทานอาหารทันที
- ยกของหนัก
- ออกกำลังกายหนักเกินไป
หากมีอาการกรดไหลย้อน ควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ที่อาจกระตุ้นให้เกิดกรดไหลย้อน หากอาการไม่ดีขึ้นหรือรุนแรง ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยและรับการรักษาอย่างเหมาะสม
กินอาหารอิ่มแล้วไปนอนทำให้หูรูดหลอดอาหารส่วนล่างมีปัญหา?
กินอาหารอิ่มแล้วไปนอนทำให้หูรูดหลอดอาหารส่วนล่างมีปัญหาได้ เนื่องจากเมื่อเรานอนหลับ กล้ามเนื้อต่างๆ ในร่างกายจะผ่อนคลายลง รวมถึงกล้ามเนื้อหูรูดหลอดอาหารส่วนล่างด้วย ซึ่งอาจทำให้กรดในกระเพาะอาหารไหลย้อนกลับขึ้นไปที่หลอดอาหารได้ง่ายขึ้น
นอกจากนี้ การนอนราบหลังรับประทานอาหารอิ่มยังทำให้กรดในกระเพาะอาหารไหลย้อนกลับขึ้นไปที่หลอดอาหารได้ง่ายขึ้นอีกด้วย เนื่องจากกรดจะไหลย้อนกลับขึ้นไปง่ายกว่าเมื่อเราอยู่ในท่านั่งหรือยืน
ดังนั้น หากมีอาการกรดไหลย้อน ควรหลีกเลี่ยงการกินอาหารอิ่มแล้วไปนอนทันที ควรนอนราบหลังรับประทานอาหารอย่างน้อย 3 ชั่วโมง หรือหากมีอาการกรดไหลย้อนรุนแรง อาจพิจารณาใช้ยาหรือการผ่าตัดเพื่อรักษา
การักษาหูรูดหลอดอาหารส่วนล่าง (Lower esophageal sphincter: LES)
การรักษาหูรูดหลอดอาหารส่วนล่าง (Lower esophageal sphincter: LES) ที่ทำให้เกิดกรดไหลย้อน ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการและสาเหตุของปัญหา โดยแนวทางการรักษาในปัจจุบันมีดังนี้
การรักษาด้วยการปรับพฤติกรรม
การปรับพฤติกรรมเป็นวิธีแรกในการรักษาหูรูดหลอดอาหารส่วนล่างที่ทำให้เกิดกรดไหลย้อน สามารถทำได้ดังนี้
- รับประทานอาหารมื้อเล็ก ๆ บ่อย ๆ เพื่อช่วยไม่ให้กระเพาะอาหารเต็มมากเกินไป
- หลีกเลี่ยงอาหารหรือเครื่องดื่มที่มีไขมันสูง คาเฟอีน หรือแอลกอฮอล์ เพราะอาจทำให้กล้ามเนื้อ LES ผ่อนคลายและทำให้กรดไหลย้อนได้
- นอนราบหลังรับประทานอาหารอย่างน้อย 3 ชั่วโมง เพื่อป้องกันไม่ให้กรดไหลย้อนขึ้นมาขณะนอนหลับ
- ยกของหนักหรือออกกำลังกายหนักเกินไป เพราะอาจทำให้กล้ามเนื้อ LES อ่อนแรงได้
การรักษาด้วยยา
หากการปรับพฤติกรรมไม่เพียงพอ อาจใช้ยาช่วยในการรักษาหูรูดหลอดอาหารส่วนล่างที่ทำให้เกิดกรดไหลย้อน โดยยาที่ใช้รักษา ได้แก่
- ยาลดกรด (Antacids) ยาชนิดนี้จะช่วยลดความเป็นกรดในกระเพาะอาหาร ช่วยลดการระคายเคืองของหลอดอาหาร และบรรเทาอาการแสบร้อนกลางอก
- ยายับยั้งโปรตอนปั๊ม (Proton pump inhibitors) ยาชนิดนี้จะช่วยยับยั้งการหลั่งกรดในกระเพาะอาหาร ช่วยลดการไหลย้อนของกรดในกระเพาะอาหาร และบรรเทาอาการกรดไหลย้อนได้ดีกว่ายาลดกรด
- ยาเพิ่มการเคลื่อนไหวของทางเดินอาหาร (Prokinetics) ยาชนิดนี้จะช่วยเพิ่มการเคลื่อนไหวของทางเดินอาหาร ช่วยให้อาหารเคลื่อนตัวออกจากกระเพาะอาหารได้เร็วขึ้น และช่วยลดการไหลย้อนของกรดในกระเพาะอาหาร
การรักษาด้วยการผ่าตัด
หากการรักษาด้วยวิธีอื่นไม่ได้ผล อาจพิจารณาการผ่าตัดเพื่อแก้ไขหูรูดหลอดอาหารส่วนล่างที่ทำให้เกิดกรดไหลย้อน โดยการผ่าตัดที่นิยม ได้แก่
- การผ่าตัด Nissen fundoplication เป็นการผ่าตัดที่แพทย์จะเย็บส่วนของกระเพาะอาหารมาพันรอบหลอดอาหารส่วนปลาย เพื่อช่วยเพิ่มความแข็งแรงของ LES
- การผ่าตัด laparoscopic plication เป็นการผ่าตัดผ่านกล้องขนาดเล็ก ซึ่งแพทย์จะใช้เครื่องมือขนาดเล็กสอดผ่านรูขนาดเล็กที่ผิวหนังบริเวณหน้าท้อง เพื่อเย็บส่วนของกระเพาะอาหารมาพันรอบหลอดอาหารส่วนปลาย
การรักษาหูรูดหลอดอาหารส่วนล่างที่ทำให้เกิดกรดไหลย้อนต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ โดยแพทย์จะพิจารณาเลือกวิธีรักษาที่เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละราย
กรดไหลย้อนเป็นโรคทางกรรมพันธุ์ไหม
กรดไหลย้อนอาจเกิดจากปัจจัยทางพันธุกรรมได้ โดยการศึกษาพบว่ามียีนบางตัวที่เกี่ยวข้องกับการเกิดกรดไหลย้อน เช่น ยีนที่มีชื่อว่า CDH13, CDH1, และ TGFBR2 ยีนเหล่านี้มีหน้าที่ควบคุมการเจริญเติบโตและการทำงานของกล้ามเนื้อหูรูดหลอดอาหารส่วนล่าง หากยีนเหล่านี้มีความผิดปกติ ก็อาจทำให้กล้ามเนื้อหูรูดหลอดอาหารส่วนล่างอ่อนแอหรือหย่อนตัวลง และทำให้กรดในกระเพาะอาหารไหลย้อนกลับขึ้นไปที่หลอดอาหารได้ง่ายขึ้น
นอกจากนี้ การศึกษายังพบว่าบุคคลที่มีประวัติครอบครัวเป็นโรคกรดไหลย้อน มีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคกรดไหลย้อนมากกว่าบุคคลที่ไม่มีประวัติครอบครัวเป็นโรคกรดไหลย้อน ซึ่งบ่งชี้ว่ากรดไหลย้อนอาจเกิดจากปัจจัยทางพันธุกรรมได้
ข้อมูลวิชาการล่าสุดเกี่ยวกับการรักษาหูรูดหลอดอาหารส่วนล่างที่ทำให้เกิดกรดไหลย้อน
พบว่า การรักษาด้วยยายายับยั้งโปรตอนปั๊ม (Proton pump inhibitors) เป็นการรักษาที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดในการบรรเทาอาการกรดไหลย้อน โดยยาชนิดนี้สามารถลดการหลั่งกรดในกระเพาะอาหารได้อย่างมีประสิทธิภาพ และช่วยลดการไหลย้อนของกรดในกระเพาะอาหารได้ดีกว่ายาลดกรดหรือยาเพิ่มการเคลื่อนไหวของทางเดินอาหาร
นอกจากนี้ การรักษาด้วยการผ่าตัดก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับผู้ป่วยที่มีอาการกรดไหลย้อนรุนแรง หรือที่การรักษาด้วยยาไม่ได้ผล โดยการผ่าตัด Nissen fundoplication เป็นการผ่าตัดที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดในการแก้ไขหูรูดหลอดอาหารส่วนล่างที่ทำให้เกิดกรดไหลย้อน โดยการผ่าตัดชนิดนี้จะช่วยเพิ่มความแข็งแรงของ LES และช่วยป้องกันไม่ให้กรดไหลย้อนกลับขึ้นไปที่หลอดอาหารได้
เขียนโดยผู้เชี่ยวชาญงานเขียน
นามปากกา : นกเหยี่ยว
แหล่งข้อมูลเกี่ยวกับกรดไหลย้อนในเด็ก
เว็บไซต์:
- American Academy of Pediatrics
- National Institute of Diabetes and Digestive and Kidney Diseases
บทความ:
- Gastroesophageal Reflux Disease (GERD) in Children: https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC4434003/
ต้องการมืออาชีพช่วยเขียนบทความ?
บริการเขียนบทความ
คุณภาพสูง เน้นการปรับแต่งให้เหมาะสมกับรูปแบบธุรกิจและบริการของคุณ!
เพิ่มความสามารถในการแข่งขันด้วย
บทความ SEO
ที่ช่วยเพิ่มอันดับการค้นหาของเว็บไซต์ของคุณ
ติดต่อตอนนี้เพื่อพัฒนากลยุทธ์การตลาดดิจิทัลของคุณ